บาลีวันละคำ

อโหสิกรรม [2] (บาลีวันละคำ 1,686)

อโหสิกรรม [2]

ขอได้ แต่ให้ไม่ได้

อ่านว่า อะ-โห-สิ-กำ

ประกอบด้วย อโหสิ + กรรม

(๑) “อโหสิ

เป็นรูปคำกริยา (กิริยาอาขยาต) ในภาษาบาลี รากศัพท์มาจาก (อาคมหน้าธาตุ บังคับให้แปลว่า “ได้-” ก่อนจะแปลตัวธาตุ) + หุ (ธาตุ = มี, เป็น) + (ปัจจัยประจำหมวดธาตุ) + สฺ อาคม + อี (วิภัตติอาขยาต), แผลง อุ ที่ หุ เป็น โอ (หุ > โห), รัสสะ อี วิภัตติเป็น อิ

: + หุ = อหุ + = อหุ + สฺ = อหุส + อี = อหุสี > อโหสี > อโหสิ แปลตามศัพท์ว่า “ได้มีแล้ว” หรือ “ได้เป็นแล้ว

ตัวอย่างประโยค :

สฺยามมกุฏราชกุมาโร ราชา อโหสิ.

แปลยกศัพท์ :

สฺยามมกุฏราชกุมาโร = อันว่าสยามมกุฏราชกุมาร

ราชา = เป็นพระราชา

อโหสิ = ได้เป็นแล้ว

สฺยามมกุฏราชกุมาโร ราชา อโหสิ = สยามมกุฏราชกุมารได้เป็นพระราชาแล้ว

คำกริยา “อโหสิ” เป็นตัวบ่งชี้ว่า ความเป็นพระราชาไม่ใช่ยังไม่เกิด หรือจักเกิด แต่ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

(๒) “กรรม

บาลีเขียน “กมฺม” (กำ-มะ) สันสกฤตเป็น “กรฺม” ไทยเขียนอิงสันสกฤตและนิยมพูดทับศัพท์ว่า “กรรม

กัมม” ในแง่ภาษา –

1- รากศัพท์คือ กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + รมฺม (รำ-มะ, ปัจจัย)

2- ลบ รฺ ที่ธาตุ : กรฺ = ก- และ ที่ปัจจัย : รมฺม = -มฺม

3- กร > + รมฺม > มฺม : + มฺม = กมฺม

4- แปลตามศัพท์ว่า “การกระทำ” “สิ่งที่ทำ

กัมม” ในแง่ความหมาย –

1- การกระทำทั้งปวง เรียกว่า กรรม

2- การถูกทำ, สิ่งที่ถูกทำ, ผลของการกระทำ ก็เรียกว่า กรรม

3- การทำกิจการงาน, การประกอบอาชีพ ก็เรียกว่า กรรม

4- พิธีกรรม, พิธีการต่างๆ ก็เรียกว่า กรรม

กัมม” ในแง่ความเข้าใจ –

1- กฎแห่งกรรม คือ “ทำดี-ดี ทำชั่ว-ชั่ว ดุจปลูกพืชชนิดใด ต้องเกิดผลดอกใบของพืชชนิดนั้น

2- กรรมมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นผล คือสภาพทั้งปวงที่เรากำลังเผชิญหรือประสบอยู่ และส่วนที่เป็นเหตุ คือสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ในบัดนี้ ซึ่งจะก่อให้เกิดส่วนที่เป็นผลในลำดับต่อไป (ผู้ที่ไม่เข้าใจ เมื่อมอง “กรรม” มักเห็นแต่ส่วนที่เป็นผล แต่ไม่เห็นส่วนที่เป็นเหตุ)

3- กรรม เป็นสัจธรรม ไม่ขึ้นกับความเชื่อหรือความเข้าใจของใคร ไม่ว่าใครจะเชื่ออย่างไรหรือไม่เชื่ออย่างไร กรรมก็เป็นจริงอย่างที่กรรมเป็น

อโหสิ + กมฺม = อโหสิกมฺม > อโหสิกรรม แปลตามศัพท์ว่า “กรรมได้มีแล้ว

ข้อสังเกต :

อโหสิกมฺม” เป็นศัพท์พิเศษ คือเอากริยากับนามมาสมาสกันและคงรูปกริยาไว้เต็มรูป ซึ่งตามปกติแล้วจะไม่มีคำเช่นนี้

คำลักษณะนี้ที่รู้จักกันดีในหมู่นักเรียนบาลีอีกคำหนึ่งคือคำว่า “นตฺถิปูโว” (นัด-ถิ-ปู-โว, คำนี้แจกวิภัตติแล้ว คำเดิมคือ “นตฺถิปูว” นัด-ถิ-ปู-วะ)

นตฺถิ” เป็นคำกริยา (กิริยาอาขยาต) แปลว่า “ย่อมไม่มี” เช่นในคำตอบว่า “นตฺถิ ภนฺเต” = ไม่มีขอรับ

ปูโว” แปลว่า ขนม

นตฺถิ ปูโว” (แยกเป็นสองคำ) จึงแปลว่า “ขนมไม่มี

นตฺถิปูโว” เป็นคำที่มหาดเล็กบอกเจ้าชายอนุรุทธะว่า “นตฺถิ / ปูโว” แปลว่า ขนม / ย่อมไม่มี คือขนมหมดแล้ว แต่เจ้าชายอนุรุทธะเข้าใจผิดว่า “นตฺถิปูโว” เป็นชื่อขนมชนิดหนึ่ง เนื่องจากตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินคำปฏิเสธว่า “ไม่มี”)

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ขยายความ “อโหสิกมฺม” ไว้ว่า –

an act or thought whose kamma has no longer any potential force. (การกระทำ หรือความผิด ที่ไม่มีกำลังต่อไปแล้ว หรือเลิกแล้วต่อกัน คือ อโหสิกรรม)

ahosikakamma is said to be a kamma inhibited by a more powerful one. (อโหสิกรรมถูกกล่าวว่าเป็นกรรมที่ยับยั้งโดยกรรมอื่นที่มีกำลังเหนือกว่า)

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต แปล “อโหสิกรรม” เป็นอังกฤษว่า –

Ahosikamma : defunct kamma; an act or thought which has no longer any potential force.

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –

อโหสิกรรม : (คำนาม) กรรมที่เลิกให้ผล; การเลิกแล้วต่อกัน, การไม่เอาโทษแก่กัน. (ป. อโหสิกมฺม).”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ขยายความคำว่า “อโหสิกรรม” ไว้ดังนี้ –

อโหสิกรรม : กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก ได้แก่กรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลที่เลิกให้ผล เหมือนพืชที่หมดยาง เพาะปลูกไม่ขึ้นอีก.”

หนังสือ “สังคหะ” เล่ม 3 หน้า 14 อธิบาย “อโหสิกรรม” ไว้ดังนี้ –

อโหสิกรรม เป็นกรรมที่ไม่ให้ผล ไม่สนองผล เลิกให้ผล หมายความว่า เป็นกรรมที่ไม่สามารถจะอำนวยผลได้ ทั้งนี้เนื่องจากเหตุหลายประการ คือ

– กรรมนั้นได้ให้ผลแล้ว

– กรรมนั้นไม่ก่อให้เกิดผล

– กรรมนั้นไม่มีผู้รับผล

เมื่อเป็นเช่นนี้ กรรมนั้นจึงได้ชื่อว่า อโหสิกรรม

…………..

อภิปราย :

ในภาษาไทย มักใช้คำว่า “อโหสิกรรม” ในความหมายว่า ขอโทษ หรือยกโทษให้ คือผู้ทำผิดขอให้ตนอย่ามีความผิด และผู้ถูกละเมิดไม่ติดใจที่จะเอาผิด

ความหมายเช่นว่านี้ ตรงกับคำว่า ขอโทษ หรือขอขมา ซึ่งในแง่ตัวบุคคลสามารถขอโทษและยกโทษให้กันได้

แต่ในทางธรรม เมื่อทำกรรมสำเร็จ จะขอร้องไม่ให้กรรมนั้นให้ผลหาได้ไม่ เพราะเมื่อทำกรรมแล้วกรรมนั้นย่อมให้ผลตามเหตุตามปัจจัยเที่ยงตรงเสมอ

พอจะเทียบได้กับความผิดบางอย่างที่กฎหมายกำหนดไว้ว่ายอมความกันมิได้ แม้ผู้ถูกละเมิดหรือถูกกระทำจะยินยอมไม่เอาความ แต่ผู้รักษากฎหมายก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอยู่นั่นเอง

กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย แต่ถ้าไม่มีตัวจำเลยอยู่ เช่นจำเลยเสียชีวิตไปก่อนที่จะรับโทษ โทษตามคำพิพากษานั้นก็เป็นอันระงับไป นี่คือความหมายแง่หนึ่งของ “อโหสิกรรม” ที่พอจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายๆ

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ขออภัย-ให้อภัยกันได้ เพราะเป็นกลไกของคุณธรรม

: แต่ขออโหสิกรรมกันไม่ได้ เพราะกลไกของกรรม

————–

(ตามคำขอของ Chaba Bo)

15-1-60