ทุมมังกุ (บาลีวันละคำ 1,733)
ทุมมังกุ
เสนอไว้ในวงวรรณ
อ่านว่า ทุม-มัง-กุ
แยกศัพท์เป็น ทุ + มังกุ
(๑) “ทุ”
เป็นคําอุปสรรค (อุปสรรค : คำสำหรับใช้เติมข้างหน้าคำนามหรือคำกริยาที่เป็นรูปคำบาลีหรือสันสกฤตให้มีความหมายแผกเพี้ยนไปจากเดิม หรือมีความหมายตรงข้ามกับความหมายเดิมเป็นต้น และถือเป็นคำเดียวกับคำนามหรือคำกริยานั้น เพราะตามปรกติจะไม่ใช้ตามลำพัง) มีความหมายว่า ชั่ว, ผิด, ยาก, ลําบาก, ทราม, การใช้ไปในทางที่ผิด, ความยุ่งยาก, ความเลว (bad, wrong, perverseness, difficulty, badness)
(๒) “มังกุ”
บาลีเขียน “มงฺกุ” อ่านว่า มัง-กุ รากศัพท์มาจาก มกิ (ธาตุ = ประดับ, งาม) + รู ปัจจัย, ลงนิคหิตอาคมที่ต้นธาตุแล้วแปลงนิคหิตเป็น งฺ (มกิ > มํกิ > มงฺกิ), แปลง อิ ที่ (ม)-กิ เป็น อะ (มกิ > มก), ลบ ร ที่ รู ปัจจัยแล้วรัสสะ อู เป็น อุ (รู > อู > อุ)
: มกิ > มํกิ > มงฺกิ > มงฺก + รู > อู = มงฺกู > มงฺกุ แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ประดับ” “ผู้เขินอาย” (ผู้แต่งตัวงามๆ-โดยเฉพาะสตรีสาว-ในใจมักรู้สึกวูบวาบ นั่นคืออาการของ “มงฺกุ”)
“มงฺกุ” เป็นคำคุณศัพท์ หมายถึง โซเซ, งุนงง, เก้อ, ยุ่งยาก, ลำบาก, ไม่พอใจ (staggering, confused, troubled, discontented)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มังกุ ๒ : (คำวิเศษณ์) เก้อ, กระดาก. (ป.).”
…………..
วิจารณ์แทรก :
“มังกุ” ตามความหมายนี้เป็นคำที่คนทั่วไปแทบจะไม่รู้จัก น่าแปลกที่พจนานุกรมฯ มีคำนี้เก็บไว้ด้วย
คำบางคำ เช่น “ธรรมสวนะ” มีคนพูดกันทั่วไป แต่พจนานุกรมฯ กลับไม่ได้เก็บคำนี้ไว้
พจนานุกรมฯ จึงเป็นอะไรที่เดาใจยากมากๆ ว่าท่านจะเก็บคำไหนหรือไม่เก็บคำไหนด้วยเหตุผลอะไร
…………..
ทุ + มงฺกุ ซ้อน มฺ
: ทุ + มฺ + มงฺกุ = ทุมฺมงฺกุ แปลว่า “ผู้เก้อยาก”
“ทุมฺมงฺกุ” :
ถ้าเป็นคำนาม (ปุงลิงค์) แปลว่า คนเก้อยาก, คนหน้าด้าน, คนหัวดื้อ
ถ้าเป็นคุณศัพท์ หมายถึง หน้าด้าน, ไม่รู้จักอาย
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษแปล “ทุมฺมงฺกุ” ตามตัวว่า “staggering in a disagreeable manner” (ซวนเซอย่างไม่น่าดู) และบอกความหมายไว้ว่า evil-minded (เก้อยาก, ใจร้าย)
…………..
อภิปราย :
ในพระไตรปิฎกส่วนพระวินัย จะพบข้อความที่แสดงวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ของการบัญญัติสิกขาบท (ศีล) ของภิกษุว่ามี 10 ประการ
1 ใน 10 ประการนั้นคือ “ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย = เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก”
ในสมัยหนึ่ง พระภิกษุที่ประพฤติชั่วหรือข้าราชการที่ทำการทุจริตต่างๆ ถ้ายังไม่มีใครรู้ความจริงก็อาจแสดงบทบาทอยู่ในสังคมได้เหมือนปกติ แต่เมื่อใดที่มีผู้รู้ความจริง เมื่อนั้นบุคคลชนิดนั้นก็จะละอายใจและหายหน้าไปจากสังคม นั่นคือสมัยที่บุคคลยัง “เก้อง่าย”
แต่ตกมาถึงสมัยนี้ บุคคลชนิดเช่นนั้น แม้จะมีผู้รู้ความจริง และเจ้าตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามีผู้รู้ความจริงแล้ว แต่แทนที่จะหายหน้าไปจากสังคม ก็กลับเชิดหน้าอยู่ในสังคมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่คือสมัยที่บุคคลเป็น “ทุมมังกุ” คือเก้อยาก หรือหน้าด้าน
ผู้เขียนบาลีวันละคำขอเสนอคำว่า “ทุมมังกุ” ไว้ในวงวรรณกรรม
ต่อนี้ไป เมื่อจะตำหนิติเตียนคนที่ประจักษ์แจ้งใจว่าทำทุจริตหรือประพฤติชั่วแน่นอน แต่ยังเสนอหน้าอยู่ในสังคมตามปกติ ขอให้เราเรียกขานบุคคลเช่นนั้นว่าพวก “ทุมมังกุ” เพื่อประโยชน์อย่างน้อย 2 ประการ คือ
๑ เพื่อให้มีคำใหม่เกิดขึ้นในภาษาไทย
๒ เพื่อที่ว่าบุคคลเช่นนั้นหรือสังคมทั่วไปจะได้นึกสงสัยว่าคำนี้แปลว่าอะไร เป็นเหตุให้ได้ศึกษาสืบค้นจนได้ความรู้ และเมื่อความรู้นั้นเป็นความรู้เกี่ยวกับพระธรรมวินัย อาจเป็นเหตุสะกิดใจให้รู้สึกละอายใจเลิกประพฤติชั่วอีกต่อไป (เล็งผลเลิศ)
…………..
ดูก่อนภราดา!
อันว่าทุมมังกุบุคคล คือคนเก้อยากหรือหน้าด้านนั้น
: ถ้าท่านยกย่องด้วยใจจริง
จะต่างอะไรกับให้ที่พักพิงแก่ขโมย
: ถ้าท่านเกรงใจจนไม่กล้าโวย
จะต่างอะไรกับดูต้นทางให้โจร
3-3-60