อภิวาทนสีลี (บาลีวันละคำ 1,882)
อภิวาทนสีลี
“ผู้พนมมือให้แก่ชนทุกชั้น”
อ่านว่า อะ-พิ-วา-ทะ-นะ-สี-ลี
แยกคำเป็น อภิวาทน + สีลี
(๑) “อภิวาทน”
อ่านว่า อะ-พิ-วา-ทะ-นะ รากศัพท์มาจาก อภิ (คำอุปสรรค = ยิ่ง, เหนือ) + วนฺทฺ (ธาตุ = ไหว้) + ยุ ปัจจัย, ลบ นฺ ที่ วนฺทฺ (วนฺทฺ > วทฺ), ทีฆะ อะ ที่ ว-(นฺทฺ) เป็น อา (วนฺทฺ > วทฺ > วาท), แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)
: อภิ + วนฺทฺ = อภิวนฺทฺ + ยุ > อน = อภิวนฺทน > อภิวทน > อภิวาทน แปลตามศัพท์ว่า “วิธีเป็นเครื่องไหว้อย่างยิ่ง” (หมายถึงการกราบ)
“อภิวาทน” (นปุงสกลิงค์) หมายถึง การอภิวาท, การสดุดี, การต้อนรับ, การแสดงความเคารพหรือจงรักภักดี (respectful greeting, salutation, giving welcome, showing respect or devotion)
(๒) “สีลี”
อ่านว่า สี-ลี คำเดิมเป็น สีล + อี ปัจจัย
(ก) “สีล” (สี-ละ) รากศัพท์มาจาก –
(1) สีลฺ (ธาตุ = สงบ, ทรงไว้) + อ ปัจจัย
: สีลฺ + อ = สีล แปลตามศัพท์ว่า “เหตุสงบแห่งจิต” “เหตุให้ธำรงกุศลธรรมไว้ได้” “ธรรมที่ธำรงผู้ปฏิบัติไว้มิให้เกิดในอบาย”
(2) สิ (ธาตุ = ผูก) + ล ปัจจัย, ทีฆะ อิ ที่ สิ เป็น อี (สิ > สี)
: สิ + ล = สิล > สีล แปลตามศัพท์ว่า “เครื่องผูกจิตไว้”
นัยหนึ่งนิยมแปลกันว่า “เย็น” หรือ “ปกติ” โดยความหมายว่า เมื่อไม่ละเมิดข้อห้ามก็จะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นปกติเรียบร้อย
“สีล” (นปุงสกลิงค์) หมายถึง :
(1) ข้อปฏิบัติทางศีลธรรม, นิสัยที่ดี, จริยธรรมในพุทธศาสนา, หลักศีลธรรม (moral practice, good character, Buddhist ethics, code of morality)
(2) ธรรมชาติ, นิสัย, ความเคยชิน, ความประพฤติ (nature, character, habit, behavior)
(ข) สีล + อี = สีลี แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้มีศีล” (2) “ผู้มี–เป็นปกติ”
“สีลี” (ปุงลิงค์) หมายถึง ผู้ทำเช่นนั้นเช่นนี้เป็นปกติ, ผู้มักทำหรือชอบทำเช่นนั้นหรือมีอุปนิสัยแบบนั้น (having a disposition or character) เช่น
– นิทฺทาสีลี (นิด-ทา-สี-ลี) = ชอบหลับเป็นนิสัย หรือขี้เซา (drowsy)
– สภาสีลี (สะ-พา-สี-ลี) = ชอบสมาคม (fond of society)
อภิวาทน + สีลี = อภิวาทนสีลี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีการกราบไหว้เป็นปกติ” หมายถึง มีปกติไหว้กราบ, มีอุปนิสัยซื่อตรงจงรัก, มีอุปนิสัยเคารพนับถือผู้อื่น (of devout character)
เวลาพระสงฆ์สวดอนุโมทนา เราจะได้ยินข้อความตอนหนึ่งว่า
อภิวาทนสีลิสฺส
นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ
อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ.
ธรรม 4 ประการ
คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติไหว้กราบ
มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์
“อภิวาทนสีลิสฺส” ก็คือ “อภิวาทนสีลี” นั่นเอง แจกด้วยวิภัตตินามที่ 4 (จตุตถีวิภัตติ) เอกพจน์ ได้รูปเป็น “อภิวาทนสีลิสฺส” แปลว่า (ธรรม 4 ประการย่อมเจริญ) “แก่ผู้มีการไหว้กราบเป็นปกติ”
ดูเพิ่มเติม: “อัญชลี วันทา อภิวาท” บาลีวันละคำ (1,504) 17-7-59
…………..
อภิปราย :
คนประเภท “อภิวาทนสีลี” นี้ ภาษาไทยเรียกว่า “มืออ่อน” (นอบน้อม, ไหว้คนง่าย) ซึ่งตรงกันข้ามกับคน “มือแข็ง” (ไม่ค่อยไหว้คนง่าย ๆ)
กล่าวตามสำนวน “ยาขอบ” นักประพันธ์เรืองนามของไทย “อภิวาทนสีลี” ก็คือ “ผู้พนมมือให้แก่ชนทุกชั้น”
คติธรรมแสดงไว้ว่า รวงข้าวที่มีเมล็ดเต่งเต็มรวงย่อมน้อมลงสู่พื้น ส่วนรวงข้าวลีบย่อมชี้ขึ้นฟ้า
“ผู้พนมมือให้แก่ชนทุกชั้น” เปรียบเหมือนข้าวเต็มรวง
ผู้กระด้างด้วยทิฐิมานะ เปรียบเหมือนข้าวรวงลีบ
…………..
ดูก่อนภราดา!
ถ้าเป็นไทย จงเข้าใจเสียให้ถูก –
: การหมอบกราบไม่ได้แปลว่ายอมเป็นทาส
: การอภิวาทไม่ได้หมายความว่ายอมเป็นขี้ข้ารับใช้ใคร
4-8-60