โลกายัต (บาลีวันละคำ 2,161)
โลกายัต
มีพุทธบัญญัติห้ามพระเรียน
อ่านว่า โล-กา-ยัด
“โลกายัต” บาลีเป็น “โลกายต” (โล-กา-ยะ-ตะ) รากศัพท์มาจาก โลก (โลก, ชาวโลก) + อา + (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ยิ่ง) + ยตฺ (ธาตุ = พยายาม) + อ ปัจจัย
: โลก + อา + ยตฺ = โลกายต + อ = โลกายต แปลตามศัพท์ว่า “ลัทธิที่ชาวโลกผู้โง่เขลาพากันพยายามทำตามด้วยความชื่นชอบในคำสอน” “ลัทธิเป็นเหตุให้ชาวโลกไม่พยายามทำประโยชน์ต่อไป”
หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ ของ พระมหาโพธิวงศาจารย์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต) แปล “โลกายต” ว่า ลัทธิโลกายัต, โลกายตศาสตร์ (ลัทธิที่ถือว่าตายแล้วสูญ โลกหน้าไม่มี)
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “โลกายต” ว่า
What pertains to the ordinary view (of the world), common or popular philosophy, or as Rhys Davids (Dial. i.171) puts it: “name of a branch of Brahman learning, probably Nature — lore“; later worked into a quâsi system of “casuistry, sophistry.”
(สิ่งที่เกี่ยวกับทัศนะธรรมดาสามัญ [พูดถึงโลก], ปรัชญาสามัญ หรือปรัชญาที่ประชาชนยึดถือ, หรืออย่างที่ Rhys Davids (Dial. 1/171) กล่าว: “ชื่อการเรียนของพราหมณ์แขนงหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นความรู้ทางธรรมชาติวิทยา”; ต่อมาจัดเป็นประหนึ่งระบบของ “การยกเหตุผลมาให้เข้ากับเรื่อง [ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ไม่ถูกก็ได้], การให้เหตุผลอย่างฉลาดหรือล่อให้คนหลง”).
คัมภีร์พระวินัยว่าอย่างไร :
ในพระวินัยปิฎกมีเรื่องพระฉัพพัคคีย์ (กลุ่มภิกษุ 6 รูป) เรียนโลกายัต ชาวบ้านตำหนิติเตียนว่าเรียนเหมือนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่เห็นว่าโลกายัตมีสาระอันควรเรียนย่อมไม่เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัย ผู้ที่เห็นว่าธรรมวินัยมีสาระก็ไม่ควรเรียนโลกายัต แล้วทรงบัญญัติห้ามภิกษุเรียนโลกายัต
(วินัยปิฎก จุลวรรค ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 181)
คัมภีร์สมันตปาสาทิกา (อรรถกถาพระวินัยปิฎก) ภาค 3 หน้า 352 บอกความหมายของ “โลกายัต” ไว้ว่า –
……………
โลกายตํ นาม สพฺพํ อุจฺฉิฏฺฐํ สพฺพํ อนุจฺฉิฏฺฐํ เสโต กาโก กาโฬ พโก อิมินา จ อิมินา จ การเณนาติเอวมาทินิรตฺถกการณปฏิสํยุตฺตํ ติตฺถิยสตฺถํ.
แปลว่า
โลกายัตคือศาสตร์นอกศาสนาว่าด้วยเรื่องไร้สาระเป็นต้นว่า ทุกอย่างเป็นสาระของชีวิตด้วยเหตุผลอย่างนี้ๆ ทุกอย่างไม่ใช่สาระของชีวิตด้วยเหตุผลอย่างนี้ๆ กาขาวเป็นไปได้จริงด้วยเหตุผลอย่างนี้ๆ นกยางดำเป็นไปได้จริงด้วยเหตุผลอย่างนี้ๆ
……………
คัมภีร์สารัตถทีปนี (ฎีกาพระวินัยปิฎก) ภาค 3 หน้า 378-379 ขยายความคำว่า “โลกักขายิกา” (รากศัพท์เดียวกับ “โลกายัต”) ไว้ว่า –
……………
โลกกฺขายิกาติ อยํ โลโก เกน นิมฺมิโต อสุเกน ปชาปตินา พฺรหฺมุนา อิสฺสเรน วา นิมฺมิโต กาโก เสโต อฏฺฐีนํ เสตตฺตา พกา รตฺตา โลหิตสฺส รตฺตตฺตาติ เอวมาทิกา โลกายตวิตณฺฑสลฺลาปกถา. อุปฺปตฺติฐิติสํหาราทิวเสน โลกํ อกฺขายตีติ โลกกฺขายิกา.
แปลว่า
คำว่า “โลกักขายิกา” หมายถึงข้อถกเถียงที่ชวนให้หลงเกี่ยวกับเรื่องโลกเป็นต้นว่า โลกนี้ใครสร้าง พระปชาบดีองค์โน้น หรือพระพรหมหรือพระอิศวรสร้างขึ้น กาสีขาวเพราะมีกระดูกขาว นกยางสีแดงเพราะเลือดสีแดง รวมทั้งข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเกิดขึ้น ความดำรงอยู่ และความเปลี่ยนแปลงไปของโลก ก็รวมเรียกว่า “โลกักขายิกา” (คือโลกายัติ)
…………..
ดูก่อนภราดา!
ในการเรียนทางโลก บัณฑิตกับคนพาลมีคติต่างกันเป็นดังฤๅ?
: บัณฑิตยชาติเรียนเพื่อหาทางสลัดพ้น
: พาลชนเรียนเพื่อหาวิธีจมอยู่กับมัน
#บาลีวันละคำ (2,161)
13-5-61