บาลีวันละคำ

มุนิวรวจนํ (บาลีวันละคำ 2,710)

มุนิวรวจนํ

แปลอย่างไรกันแน่

บาลีวันละคำวันนี้อาจจะหนักไปนิดสำหรับญาติมิตรที่ไม่มีพื้นทางบาลี แต่จะพยายามอธิบายเป็นภาษาง่ายๆ เท่าที่จะง่ายได้

มุนิวรวจนํ” อ่านว่า มุ-นิ-วะ-ระ-วะ-จะ-นัง เป็นคำหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในบทชุมนุมเทวดา คือบทเชิญเทวดามาฟังธรรม เฉพาะบทนี้มีข้อความว่า –

ติฏฺฐนฺตา  สนฺติเก  ยํ  มุนิวรวจนํ

สาธโว  เม  สุณนฺตุ.

(ติฏฐันตา  สันติเก  ยัง  มุนิวะระวะจะนัง

สาธะโว  เม  สุณันตุ.)

(ดูบทเต็มใน “ชุมนุมเทวดา” บาลีวันละคำ (1,174) 16-8-58)

คำว่า “ติฏฺฐนฺตา  สนฺติเก” (ติด-ถัน-ตา สัน-ติ-เก) แปลว่า “เทพยดาซึ่งอยู่ในที่ใกล้เคียง” (เสริมความว่า-ขอเชิญเทพยดาเหล่านั้นจงมาประชุมพร้อมเพรียงกันในสถานที่นี้)

คำว่า “สาธโว  เม  สุณนฺตุ” (สา-ทะ-โว เม สุ-นัน-ตุ) แปลว่า “ท่านสัตบุรุษทั้งหลายจงสดับ (คำนั้น) แห่งข้าพเจ้า

คำว่า “ยํ” (ยัง) ที่อยู่หน้า “มุนิวรวจนํ” แปลว่า “ใด” ( = คำใด)

คำที่เป็นปัญหา คือ “มุนิวรวจนํ” แยกศัพท์เป็น มุนิ + วร + วจนํ

(๑) “มุนิ” (มุ-นิ) รากศัพท์มาจาก –

(1) มุนฺ (ธาตุ = รู้; ผูก) + อิ ปัจจัย

: มุนฺ + อิ = มุนิ แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้รู้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น” (2) “ผู้รู้ประโยชน์ทั้งสอง” (3) “ผู้ผูกจิตของตนไว้มิให้ตกไปสู่อำนาจของราคะโทสะเป็นต้น

(2) โมน (ความรู้) + อี ปัจจัย, รัสสะ อี เป็น อิ, แผลง โอ ที่ โม-(น) เป็น อุ (โมน > มุน)

: โมน > มุน + อี = มุนี > มุนิ แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความรู้หรือมีโมเนยยธรรม

มุนิ” (ปุงลิงค์) หมายถึง ผู้บำเพ็ญพรต, ผู้ศักดิ์สิทธิ์, นักปราชญ์, คนฉลาด (a holy man, a sage, wise man)

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

มุนิ, มุนี : (คำนาม) นักปราชญ์, ฤษี, พระสงฆ์. (ป., ส.).”

(๒) “วร

บาลีอ่านว่า วะ-ระ รากศัพท์มาจาก วรฺ (ธาต = ปรารถนา) + (อะ) ปัจจัย

: วรฺ + = วร แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะอันบุคคลปรารถนา” เป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า ประเสริฐ, วิเศษ, เลิศ, อริยะ (excellent, splendid, best, noble) เป็นคำนาม (ปุงลิงค์; นปุงสกลิงค์) แปลว่า ความปรารถนา, พร, ความกรุณา (wish, boon, favour)

ในภาษาไทย “วร” คงใช้เป็น “วร” ก็มี แปลง เป็น ตามหลักนิยมของไทยเป็น “พร” ก็มี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บไว้ทั้ง “วร” และ “พร” บอกไว้ว่า –

(1) วร– [วะระ-, วอระ-] : (คำนาม) พร; ของขวัญ. (คำวิเศษณ์) ยอดเยี่ยม, ประเสริฐ, เลิศ. (ป., ส.).

(2) พร [พอน] : (คำนาม) คําแสดงความปรารถนาให้ประสบสิ่งที่เป็นสิริมงคล เช่น ให้พร ถวายพระพร, สิ่งที่ขอเลือกเอาตามประสงค์ เช่น ขอพร. (ป. วร).

ในที่นี้ “วร” เป็นคำวิเศษณ์

(๓) “วจนํ

รูปศัพท์เดิมเป็น “วจน” (วะ-จะ-นะ) รากศัพท์มาจาก วจ (ธาตุ = พูด) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)

: วจฺ + ยุ > อน = วจน แปลตามศัพท์ว่า “คำอันเขาพูด” “คำเป็นเครื่องพูด

วจน” ในบาลีหมายถึง –

(1) คำพูด, การเปล่งเสียง, ถ้อยคำ, การร้องเรียก (speaking, utterance, word, bidding)

(2) วิธีแสดงออกซึ่งคำพูด, พจน์, การแสดงออก (way of speech, term, expression)

วจน” (นปุงสกลิงค์) แจกด้วยวิภัตตินามที่หนึ่ง (ปฐมาวิภัตติ) เอกพจน์ เปลี่ยนรูปเป็น “วจนํ” (วะ-จะ-นัง)

…………..

รู้คำแปลหมดทุกคำแล้ว ต่อไปก็มาถึงการประสมคำ ซึ่งจะเป็นการตอบปัญหาไปในตัวว่า “มุนิวรวจนํ” แปลอย่างไรกันแน่

มุนิ” (มุนี, นักปราชญ์) กับ “วจนํ” (คำพูด) เป็นคำนาม ไม่มีปัญหา

แต่ “วร” (ประเสริฐ) เป็นคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์ มีปัญหา

ปัญหาก็คือ ในที่นี้ อะไรประเสริฐ?

มุนี-ประเสริฐ”?

หรือว่า

คำ-ประเสริฐ

ถ้า “มุนี-ประเสริฐ” ก็ประสมคำเป็น มุนิ + วร = มุนิวร (มุ-นิ-วะ-ระ)

กรณีนี้ “วร” เป็นคุณศัพท์ของ “มุนิ” = มุนีผู้ประเสริฐ

ถ้า “คำ-ประเสริฐ” ก็ประสมคำเป็น วร + วจน = วรวจน (วะ-ระ-วะ-จะ-นะ > วรวจนํ)

กรณีนี้ “วร” เป็นคุณศัพท์ของ “วจนํ” = คำอันประเสริฐ

เพราะฉะนั้น “มุนิวรวจนํ” จึงแปลได้ 2 แบบ –

แบบที่หนึ่ง: มุนิวร + วจนํ = “คำของพระมุนีผู้ประเสริฐ

แบบที่สอง: มุนิ + วรวจนํ = “คำอันประเสริฐของพระมุนี

นี่คือที่มาของคำถามว่า “มุนิวรวจนํ” แปลอย่างไรกันแน่?

อภิปราย :

เป็นที่รู้กันในหมู่คนไทยที่รู้หลักภาษาบาลีว่า ในภาษาบาลี คำขยายหรือที่เรียกเป็นคำศัพท์ว่า “คำวิเศษณ์” (ไวยากรณ์บาลีเรียก “วิเสสนะ”) ต้องอยู่ข้างหน้าคำที่ถูกขยาย (ภาษาไวยากรณ์บาลีเรียกว่า “วิเสสนบุพบท” = บทที่มีคำขยายอยู่หน้า) เช่นคำว่า “วร” ที่กำลังพูดถึงในที่นี้เป็นคำวิเศษณ์ อยู่ข้างหน้าคำนามที่ถูกขยาย เช่น –

วรชายา = ภรรยาที่ประเสริฐ

วรดนู = หญิงที่ประเสริฐ คือหญิงงาม

วรปัญญ์ = ผู้มีปัญญาเลิศ

วราวุธ = อาวุธอย่างประเสริฐ

แต่หลักที่คนส่วนมากไม่ทราบก็คือ คำขยายในภาษาบาลีที่อยู่หลังคำที่ถูกขยาย (ตรงกันข้ามกับที่เข้าใจกัน) ก็มี โดยเฉพาะคำว่า “วร” ที่อยู่หลังคำที่ถูกขยายก็อย่างเช่น –

ชินวร = พระชินเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นคำที่ใช้เรียกพระพุทธเจ้า (the noble victor) คำนี้คือที่เราใช้ในภาษาไทยและอ่านว่า ชิน-นะ-วอน

ธมฺมวร = ธรรมอันประเสริฐ (the best norm)

นครวร = อริยนคร (the noble city)

รตนวร = แก้วอันเลิศ (the best of gems)

ราชวร = พระราชาที่มีพระนามกระเดื่อง (famous king)

ลักษณะเช่นนี้ภาษาไวยากรณ์บาลีเรียกว่า “วิเสสนุตรบท” = บทที่มีคำขยายอยู่หลัง โดยเฉพาะบทที่มีคำว่า “วร” เป็นคำขยายอยู่หลังเช่นนี้จะพบได้ทั่วไปในคัมภีร์บาลี

ในที่นี้ ถ้าประสงค์จะให้แปลว่า “พระมุนีผู้ประเสริฐ” ตามความเข้าใจพื้นฐานที่ว่าคำขยายต้องอยู่ข้างหน้าคำที่ถูกขยาย คำนี้ก็ควรจะต้องเป็น “วรมุนิ” ไม่ใช่ “มุนิวร

ผู้เขียนบาลีวันละคำได้ลองค้นดูในคัมภีร์บาลี เบื้องต้น ยังไม่พบรูปศัพท์ “วรมุนิ” เลยแม้แต่แห่งเดียว

แต่รูปศัพท์ “มุนิวร” มีใช้อยู่ทั่วไปในคัมภีร์บาลี (ดูภาพประกอบ)

และถ้าประสงค์จะให้แปลว่า “คำอันประเสริฐ” ตามความเข้าใจพื้นฐานและหลักการเดียวกัน คำนี้เป็น “วรวจนํ” ก็นับว่าถูกต้องแล้วตามหลักนั้น

แต่น่าประหลาด ผู้เขียนบาลีวันละคำได้ลองค้นดูในคัมภีร์บาลี เบื้องต้น ยังไม่พบรูปศัพท์ “วรวจนํ” เลยแม้แต่แห่งเดียว!

ที่ต้องใช้คำว่า “เบื้องต้น” กำกับไว้ด้วย ก็เนื่องจากคัมภีร์ที่ผู้เขียนบาลีวันละคำใช้เป็นแหล่งสืบค้นอาจจะยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ อาจมีท่านผู้ใดใครผู้หนึ่งค้นพบ “วรมุนิ” และ “วรวจนํ” ในโอกาสต่อไปก็เป็นได้

ขอฝากนักเลงบาลีช่วยกันสืบสวนต่อไปเทอญ

สรุปเป็นคำตอบว่า บทชุมนุมเทวดาข้างต้น คือ –

…………..

ติฏฺฐนฺตา  สนฺติเก  ยํ  มุนิวรวจนํ

สาธโว  เม  สุณนฺตุ.

แปลว่า –

ติฏฺฐนฺตา  สนฺติเก 

ขอเชิญเทพยดาซึ่งอยู่ในที่ใกล้เคียง (จงมาประชุมพร้อมเพรียงกันในสถานที่นี้)

ยํ  มุนิวรวจนํ

คำใดเป็นคำของพระมุนีผู้ประเสริฐ

สาธโว  เม  สุณนฺตุ.

ท่านสัตบุรุษทั้งหลายจงสดับคำนั้นแห่งข้าพเจ้า

…………..

ดังนี้ ควรยุติว่าเป็นคำแปลที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ในที่นี้และในขณะนี้ จนกว่าจะมีผู้เสนอหลักฐานเป็นอย่างอื่นที่เชื่อถือได้มากกว่า

…………..

ดูก่อนภราดา!

: แม้จะมีหลักก็อย่าปักใจเชื่อไปทั้งหมด

: เพราะกฎทุกกฎมีข้อยกเว้น

#บาลีวันละคำ (2,710)

13-11-62

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย