บาลีวันละคำ

คำบังสุกุล (บาลีวันละคำ 2,727)

คำบังสุกุล

เคยมี 2 บท แล้วทำไมจึงลดเหลือบทเดียว

คำบังสุกุล” ในที่นี้หมายถึงคำที่พระสงฆ์ท่านกล่าวเมื่อ “ชักผ้าบังสุกุล” ซึ่งเวลานี้นิยมเรียกกันเพี้ยนๆ ว่า “พิจารณาผ้า” เพราะความจริงแล้วเป็นการ “พิจารณาศพ” ไม่ใช่พิจารณาผ้า ในกรณีที่ไม่มีศพ แต่มีสิ่งอื่นอันเนื่องด้วยผู้ตาย เช่น อัฐิ รูปถ่าย หรือรายชื่อ ก็เป็นการพิจารณาสังขารอันจะต้องแตกดับไปเป็นธรรมดา

ถ้ามีผ้าทอดด้วย ก็หมายถึงพิจารณาศพหรือพิจารณาสังขารแล้วชักผ้าบังสุกุล

แต่บางทีเจ้าภาพไม่มีผ้าทอด พระสงฆ์จับภูษาโยง คือแถบผ้าที่โยงมาจากศพหรือจากอัฐิ แล้วก็กล่าวคำพิจารณาสังขาร กรณีไม่มีผ้าทอดแม้จะไม่ได้ชักผ้าบังสุกล ก็เรียกว่า “คำบังสุกุล” โดยอนุโลม

คำบังสุกุล” ที่พระสงฆ์กล่าวโดยทั่วไปในเวลานี้มีข้อความดังนี้ –

อนิจฺจา  วต  สงฺขารา

อุปฺปาทวยธมฺมิโน

อุปฺปชฺชิตฺวา  นิรุชฺฌนฺติ

เตสํ  วูปสโม  สุโข.

(อะนิจจา  วะตะ  สังขารา

อุปปาทะวะยะธัมมิโน

อุปปัชชิต๎วา  นิรุชฌันติ

เตสัง  วูปะสะโม  สุโข.)

แปลยกศัพท์ :

สงฺขารา = สังขารทั้งหลาย

อนิจฺจา  วต  = ไม่เที่ยงหนอ

อุปฺปาทวยธมฺมิโน = มีเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา

อุปฺปชฺชิตฺวา = สังขารเกิดขึ้นแล้ว

นิรุชฺฌนฺติ = ย่อมดับไป

เตสํ  วูปสโม = การเข้าไปสงบระงับดับสังขารเหล่านั้นลงได้

สุโข = เป็นความสุข

แปลรวมความ :

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

มีการเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา

สังขารทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

การเข้าไประงับดับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข

…………..

ในคำบังสุกุลบทนี้เป็นพระพุทธพจน์ มีมาในมหาสุทัสสนสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 186 ในพระไตรปิฎกอีกหลายแห่งปรากฏเป็นคำที่ผู้อื่นนำไปกล่าวก็มี

ความจริงคำบังสุกุลยังมีต่อไปอีกบทหนึ่ง ข้อความเป็นดังนี้ –

สพฺเพ  สตฺตา  มรนฺติ  จ

มรึสุ  จ  มริสฺสเร

ตเถวาหํ  มริสฺสามิ

นตฺถิ  เม  เอตฺถ  สํสโย.

(สัพเพ  สัตตา  มะรันติ  จะ

มะริงสุ  จะ  มะริสสะเร

ตะเถวาหัง  มะริสสามิ

นัตถิ  เม  เอตถะ  สังสะโย.)

แปลยกศัพท์ :

สพฺเพ  สตฺตา = สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

มรนฺติ  จ = กำลังตายด้วย

มรึสุ  จ = ตายแล้วด้วย

มริสฺสเร จ = จักตายด้วย

อหํ = อันว่าเรา

มริสฺสามิ = จักตาย

ตถา เอว = เหมือนกันนั่นเทียว

สํสโย = อันว่าความสงสัย

เอตฺถ มรเณ = ในเรื่องความตายนี้

นตฺถิ = ย่อมไม่มี

เม = แก่เรา

แปลรวมความ :

สัตว์ทั้งหลายทุกหมู่เหล่า กำลังตายก็มี

ตายไปแล้วก็มี จักตาย (ต่อไปอีก) ก็มี

เราเองก็จักต้องตายเช่นเดียวกัน

ในเรื่องตายนี้เราไม่มีความสงสัยเลย

…………..

คำบังสุกุลบทที่ 2 นี้ยังไม่พบที่มาในพระไตรปิฎก น่าจะเป็นคำที่แต่งขึ้นในภายหลัง

อภิปราย :

สมัยที่ผู้เขียนบาลีวันละคำเป็นเด็กวัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี (พ.ศ.2496-2500) ยืนยันได้ว่าพระสงฆ์ในพื้นถิ่นนั้นกล่าวคำบังสุกุลควบกันทั้งสองบทเสมอ

ตั้งแต่ปี พ.ศ.2506 ผู้เขียนบาลีวันละคำเข้าไปอยู่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี พระสงฆ์ในตัวเมืองในสมัยนั้นก็กล่าวคำบังสุกุลควบกันทั้งสองบท

ผู้เขียนบาลีวันละคำลาสิกขาเมื่อปี พ.ศ.2517 จำได้ว่าพระสงฆ์ในตัวเมืองในเวลานั้นยังกล่าวคำบังสุกุลควบกันทั้งสองบท แต่บางวัดเริ่มจะกล่าวเฉพาะบทแรกบทเดียวกันบ้างแล้ว

หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นอันแน่นอนว่า พระสงฆ์กล่าวคำบังสุกุลเฉพาะบทแรกบทเดียว

ยังไม่พบคำอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวบทเดียว

ได้แต่สันนิษฐานว่า เวลาเร่งรัด-จำกัดด้วยเวลา ทั้งโยมทั้งพระมีภารกิจอื่นที่จะต้องรีบไปทำ

เป็นเหตุผลเดียวกับที่-บทเจริญพระพุทธมนต์สมัยนี้ถูกตัดสวดลัดๆ กันมาก เช่นบทธชัคคสูตร สวดแบบ “ชักไส้” คือเอาเฉพาะตอนที่เป็นพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณมาสวด ไม่สวดบทเต็ม จนกระทั่งพระสงฆ์สมัยนี้ส่วนมากสวดธชัคคสูตรเต็มๆ ไม่ได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม วัดที่ยังกล่าวคำบังสุกุลเต็มทั้งสองบทก็ยังมีอยู่บ้าง แต่มีผู้อธิบายเสริมเข้ามาว่า วัดที่กล่าวทั้งสองบท (อนิจฺจาวูปสโม สุโข, สพฺเพ สตฺตาเอตฺถ สํสโย.) เป็นวัดนิกายหนึ่ง วัดที่กล่าวเฉพาะบทเดียว (อนิจฺจาวูปสโม สุโข.) เป็นวัดอีกนิกายหนึ่ง

เป็นคำอธิบายที่ฟังได้ แต่ยังเชื่อไม่ได้

ผู้เขียนบาลีวันละคำขอยืนยันว่า พระสงฆ์สมัยก่อนไม่ว่าจะนิกายไหนกล่าวคำบังสุกุลควบกันทั้งสองบทเสมอ

ถ้าญาติโยมเจ้าภาพสมัยนี้จะกรุณาเพิ่มเวลาให้พระสงฆ์อีกสักนิด และถ้าพระสงฆ์สมัยนี้จะมีเมตตาสละเวลาเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย กล่าว “คำบังสุกุล” ให้ครบทั้งสองบททุกครั้งไป ผู้เขียนบาลีวันละคำจะกราบอนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่ง

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ถ้าลดเวลาที่จะทำชั่ว เป็นการดี

: การลดเวลาที่จะทำดี ก็เป็นการชั่ว

#บาลีวันละคำ (2,727)

30-11-62

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย