พุทธวิธีแห่งการแสวงหาปัญญา
พุทธวิธีแห่งการแสวงหาปัญญา
—————————
ผมมีคำถามครับ คือผมอยากทราบว่า —
๑ บุคคลที่บรรลุธรรมเป็นโสดาบัน เมื่อตายไปจะเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือไม่
๒ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็แปลว่า-มนุษย์เราอาจเป็นโสดาบันตั้งแต่เกิด คือเป็นโสดาบันตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา-ก็ได้ ใช่หรือไม่ (เพราะจิตของผู้บรรลุอริยมรรคจะไม่กลับมาเป็นปุถุชนอีก)
คำถามทั้ง ๒ ข้อนี้มีคำอธิบายอย่างไร จงบรรยาย
เรื่องนี้ผมพยายามหาคำตอบมานานแล้ว แต่ยังไม่พบคำตอบ
ขอแรงหน่อยนะครับญาติมิตรทั้งหลาย-โดยเฉพาะท่านที่เรียนบาลี เป็นมหาเปรียญ และท่านที่เชี่ยวชาญพระอภิธรรมซึ่งสามารถอธิบายสภาวะจิตได้อย่างลึกซึ้ง
ขอแรงช่วยกันค้นคว้าหาคำตอบให้ที
ไม่เอาคำตอบประเภท–
ผมเข้าใจว่า…
ฉันคิดว่ามันน่าจะ…
….
แบบนี้ไม่เอานะครับ
เอาคำตอบประเภทที่ค้นคว้าหลักคำสอนมาตอบ
ไม่ใช่ตอบตามความเข้าใจของผู้ตอบ
พูดอย่างนี้ ก็จะรู้สึกว่า-เอ มันก็ยากนะสิ ใครจะไปรู้ว่าคำตอบอยู่ที่คัมภีร์เล่มไหน
เห็นไหมครับว่า เรามีเรื่องที่ยังไม่รู้อีกเยอะเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องในสายวิทยาการของเราเองแท้ๆ
เรียนบาลี-ก็เพื่อตอบปัญหาแบบนี้แหละครับ
คำสอนของพระพุทธเจ้า-คือพระธรรมวินัย-ท่านบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี
ถ้าเรื่องนี้ท่านสอนไว้ ท่านอธิบายไว้ หรือท่านตอบไว้ มันก็ควรจะมีอยู่ในคัมภีร์ คือพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาต่างๆ
เราเรียนบาลีก็เพื่อจะได้สามารถอ่านคัมภีร์เหล่านี้ได้
ค้นหาความรู้-หาคำตอบจากคัมภีร์ได้
ข้อผิดพลาดของพวกเราก็คือ ไม่ได้เรียนบาลีเพื่อจะเอาความรู้บาลีไปศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์-ซึ่งเป็นภาษาบาลี
แต่เรียนบาลีด้วยจุดประสงค์อย่างอื่น
เช่น-เรียนเพื่อสอบได้
แล้วเอาวุฒิจากการสอบได้เป็นสะพานก้าวไปทำกิจอย่างอื่น
กิจอะไรบ้างก็ไม่รู้แหละ สารพัดกิจ-ยกเว้นกิจคือศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาต่างๆ
ศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์ก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องจำเป็น ไม่ใช่ว่าไม่ดี ไม่จำเป็น แต่ตอนนี้ขอไปทำกิจอย่างอื่นที่จำเป็นกว่าก่อน ไว้มีโอกาสแล้วจะลองค้นคว้าดู
เราคิดกันอย่างนี้
พูดอย่างนี้ ผมก็ได้ยินเสียงสวนกลับมาว่า – ก็แล้วมีใครเขาเรียนเพื่อแบบที่คุณว่านั้นกันบ้างเล่า มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นแหละที่พร่ำเพ้ออยู่แต่เรื่องค้นคว้าคัมภีร์
คำก็คัมภีร์ สองคำก็คัมภีร์
พวกนักคัมภีร์
บ้าคัมภีร์
บูชาคัมภีร์
คิดเองไม่เป็น
——————–
ผมก็คงพูดซ้ำคำเดิม-พระพุทธศาสนามีมาก่อนเราเกิด
พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่คำสอนของหลวงพ่อนั่น หลวงปู่โน่น อาจารย์นี่
หลวงพ่อ หลวงปู่ อาจารย์ ท่านก็ต้องเอาคำสอนมาจากพระพุทธเจ้า เพราะท่านไม่ได้ตรัสรู้เอง
จะเชื่อจะเลื่อมใสจะศรัทธาคำสอนของหลวงพ่อหลวงปู่อาจารย์ ก็เชิญ แต่ควรต้องรู้ว่า-แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องนั้นๆ ไว้อย่างไร
จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องนั้นๆ ไว้อย่างไร ก็ต้องตามไปดูให้ถึงต้นน้ำ-คือคัมภีร์
ดูแล้ว รู้แล้ว คราวนี้แหละเป็นสิทธิของเรา เป็นหน้าที่แห่งสติปัญญาของเราที่จะวินิจฉัยเลือกเฟ้นตัดสินว่าจะเชื่อใคร
เห็นไหมครับว่า-ไม่ได้ตัดโอกาสที่จะเชื่อจะนับถือจะศรัทธาหลวงพ่อหลวงปู่อาจารย์ทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย
เราผิดพลาดกันมากก็ตรงนี้-ตรงที่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างไร
เราส่วนมากก็เลยไปเอาคำสอนของหลวงพ่อหลวงปู่อาจารย์มาเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
จับกันที่ปลายน้ำ
แต่ไม่ไปให้ถึงต้นน้ำ
คงจะมีหลายท่านบอกว่า เออ ถ้าจะรอให้ไปถึงต้นน้ำก่อนก็คงตายก่อนเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรกันละ
ขอได้โปรดทำความเข้าใจให้ถูกประเด็นนะครับ
หลักปฏิบัติขั้นพื้นฐาน เช่น ทาน ศีล ภาวนา เหล่านี้มีอยู่แล้ว ชัดเจนแล้ว ไม่ต้องรอไปอ่านคัมภีร์ก่อนจึงจะปฏิบัติได้
แต่ทำได้ทันที เดี๋ยวนี้
วันนี้ทำทานหรือยัง
ถ้ายัง
ทำซะ
วันนี้ถือศีลหรือยัง
ถ้ายัง
ถือซะ
วันนี้บำเพ็ญจิตภาวนาหรือยัง
ถ้ายัง
บำเพ็ญซะ
ข้อสำคัญอยู่ตรงที่-หาความรู้ที่ถูกต้องชัดเจนไปด้วยว่า –
ให้ทานอย่างไรถูกต้อง
รักษาศีลอย่างไรถูกต้อง
เจริญภาวนาอย่างไรถูกต้อง
ตรงนี้แหละที่เราพลาดกันมาก
คือทำไปตามที่ตัวเองเข้าใจ
หรือตามที่มีคนบอก
แต่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ไปถึงต้นน้ำ
เพราะฉะนั้น หาความรู้ที่ถูกต้อง
อย่าคิดเอาเอง
หรือแม้แต่-เพียงแค่เชื่อตามที่อาจารย์ทั้งหลายบอก
—————
ย้อนกลับไปที่คำถามข้างต้น
อยากรู้จริงๆ นะครับ ไม่ใช่ลองภูมิใคร
ที่พรรณนาเรื่องการศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์มายืดยาวก็เพื่อ-ปรับความเข้าใจ โดยเฉพาะกับผู้ที่เรียนบาลี
เราต้องปรับทัศนคติกันใหม่หมด
เพราะพลาดกันมายาวนานแล้ว
หยุด แล้วหันกลับมาตั้งเป้าหมายให้ถูกทิศ
ดีกว่าเดินหน้าผิดๆ กันต่อไป
เรียนบาลีเพื่อค้นคว้าพระคัมภีร์หาความรู้ที่ถูกต้อง
แล้วเอาความรู้นั้นมาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตจริง
ต่อจากนั้น เมื่อมีโอกาสก็บอกกล่าวหรือตอบคำถามให้แก่ผู้ที่สนใจ
ตอบตามหลักความรู้ในคัมภีร์อันเป็นต้นน้ำแห่งคำสอนก่อน
ต่อจากนั้น ตัวเองมีความเห็นอย่างไรก็แสดงออกไปโดยเสรี
นี่คือพุทธวิธีแห่งการแสวงหาปัญญา
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
๑๖:๐๙
…………………………….
…………………………….