ทราบเฉยๆ กันมั่งก็ดี
ทราบเฉย ๆ กันมั่งก็ดี
สมมุติว่า อยู่มาวันหนึ่ง ท่านได้ทราบข่าวจากช่องทางสื่อสารต่างๆ ที่ท่านเสพอยู่ทุกวันนี่แหละ ว่าคนดังในสังคมหรือคนที่ท่านเคารพนับถือคนหนึ่ง ทำความไม่ดีอะไรสักอย่าง – ท่านจะทำอย่างไร?
ยกตัวอย่างเช่น วันหนึ่งมีข่าวออกมาว่า นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย เปรียญธรรม ๙ ประโยค ผู้เขียน “บาลีวันละคำ” และบทความทางศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กเป็นประจำ มรรคนายกประจำวัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี —
ถูกจับได้ว่าขโมยของจากห้างสรรพสินค้า
ขับรถชนคนแล้วหนี
มั่วสุมแก๊งยาเสพติด
เมาสุราอาละวาด
ยักยอกเงินบริจาคพิมพ์หนังสือเป็นธรรมทาน
ลวนลามเด็กสาวในสวนสาธารณะ
ถูกฟ้องข้อหาทุจริตสมัยที่ยังรับราชการอยู่
ฯลฯ
อะไรอีกก็ได้ที่เป็นเรื่องเสื่อมเสีย
ท่านอ่านไลน์ อ่านข่าว ฟังข่าว ดูคลิปหรืออะไรก็ไม่รู้แหละที่ท่านเสพอยู่เป็นประจำนั่นแหละ เห็นเรื่องนี้เข้า ท่านจะมีท่าทีอย่างไร?
“ท่าน” ในที่นี้หมายถึงคนทั่วไปนะครับ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นท่านที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่
ผมคาดว่า คนส่วนใหญ่จะ “กระโจนเข้าใส่” ทันที และน่าจะแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่มใหญ่ๆ
กลุ่มหนึ่ง สงสารเห็นใจ: โถ ไม่น่าเลย ทำไมทำอย่างนี้นะ ฯลฯ
กลุ่มหนึ่ง รังเกียจ: แหม เสียแรงหลงนับถือมานาน อุตส่าห์บวชเรียนมาก็เยอะ แก่เสียเปล่า เลิกนับถือกันที ฯลฯ
กลุ่มหนึ่ง รุมกระทืบ: กูว่าแล้ว พวกมือถือสากปากถือศีลก็งี้แหละ กูไม่เคยเลื่อมใสเลยไอ้คนชนิดนี้ จริงๆ ว่ะ โดนเสียมั่งก็ดี เอาให้เข็ด ฯลฯ
นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่จะทำเป็นอย่างแรก
และที่จะทำต่อไปก็คือ เอาเรื่องนี้ไปบอก ไปเล่า ไปปรารภ ไปเปรย ไปอะไรๆ อีก ซึ่งสรุปลงในคำว่าเอาไปกระจายข่าวต่อ
เรื่องก็จะขยาย-กระจายออกไปอีก
จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้แหละ แต่คนเอาไปพูดกันหึ่งไปแล้ว
สภาพการรับรู้ข่าวสารในบ้านเราทุกวันนี้เป็นแบบนี้
อาจจะ “เป็นแบบนี้” มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็น แต่ทุกวันนี้ยังเป็นแบบนี้อยู่
………………
เชื่อหรือไม่ว่า คนร้อยทั้งร้อยน้อยเหลือเกินที่จะมีความคิดตรวจสอบสืบหาความจริงให้ได้ก่อน ยิ่งตรวจสอบไปที่เจ้าตัวต้นตอนั่นเลยนั่นแหละดีที่สุด แต่รับรองได้ ไม่มีใครทำ
ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงแล้วแล้วจึงค่อยแสดงท่าทีใดๆ ออกไป
นั่นคือสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก
การแสดงท่าทีใดๆ ออกไปควรทำเป็นอันดับสุดท้าย และถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแสดงท่าทีใดๆ เลยด้วยซ้ำไป
แต่หาใช่เช่นนั้นไม่ สิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรกกลับไม่ทำ หากแต่ไพล่ไปทำสิ่งที่ไม่พึงทำหรือควรทำเป็นอันดับสุดท้ายก่อน
เพราะฉะนั้น ลองคิดให้ดีๆ เถอะ เราส่วนมากกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดกระแสสารพัดเรื่องอยู่ในสังคมโดยที่เราแทบจะไม่รู้สึกตัว และส่วนมากก็จะเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากยุ่งเหยิง-ซึ่งเรานั่นเองก็ไม่ได้ต้องการจะให้เป็นเช่นนั้น
ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ เรายังช่วยกันหาเหตุผลมาอ้างอีกด้วย เช่น ไม่เสพข่าวก็ไม่ทันโลก ไม่เชื่อข่าวแล้วจะไปเชื่อใคร จะให้ตรวจสอบก่อนทุกเรื่องจะเอาเวลาที่ไหนไปทำมาหากิน เทวดาก็ทำไม่ได้ อยู่กับโลกก็ต้องตามโลก ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
เพราะฉะนั้น เสพข่าวแล้วกระโจนเข้าใส่ทันทีจึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ไม่ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงให้มันยุ่งยากก็จึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้วเช่นกัน และเราก็จะทำอย่างนี้และเป็นอย่างนี้กันต่อไป เจริญดี
………………
หนังสือราชการ-โดยเฉพาะในราชการทหารเรือที่ผมพอคุ้นอยู่บ้าง-เวลาเสนอเรื่องถึงผู้บังคับบัญชามักจะมีเรื่องใหญ่ๆ เป็น ๓ ประเภท คือ
๑ เสนอเพื่อพิจารณาสั่งการ คือให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงมาว่าเรื่องนี้จะให้ใครทำอะไรอย่างไร
๒ เสนอเพื่ออนุมัติ คือฝ่ายอำนวยการหรือคนยกร่างหนังสือได้เสนอวิธีปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ มาด้วย ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นด้วย ก็จะเซ็นลงไปว่า “อนุมัติตามเสนอ” ถ้าไม่เห็นด้วยและเห็นควรทำอย่างไร ก็จะให้เอาไปร่างเสนอมาใหม่
๓ เสนอเพื่อรับทราบ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสั่งให้ทำอะไร เพียงแต่รับรู้รับทราบเฉยๆ ว่ามีเรื่องอย่างนี้ๆ เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาก็จะเซ็นลงไปว่า “ทราบ” จบแค่นั้น
ข่าวที่เราเสพ ถ้าเทียบกับหนังสือราชการก็คือเรื่องที่เสนอเพื่อรับทราบเท่านั้น หากยังต้องเสพอยู่ หน้าที่ของเราก็คือทำเพียง “ทราบ” เฉยๆ ก็น่าจะพอ
เรื่องที่ควรทราบเฉยๆ แต่เราไป “อนุมัติตามเสนอ” หรือพิจารณาสั่งการไปด้วย จึงมักจะวุ่นวายอย่างที่เห็นหรือเป็นกันอยู่นี่แหละครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๔
๑๘:๒๖