บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

คติของพระโพธิสัตว์

คติของพระโพธิสัตว์

———————

ในตอนก่อน ได้เขียนถึงองค์ประกอบของผู้ที่จะได้เป็นพระโพธิสัตว์

……………………………………….

ตำราดูพระโพธิสัตว์

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/4510798362347199

……………………………………….

ตอนนี้เป็นเรื่องสืบเนื่อง คือเป็นการบรรยายความว่าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์แล้วเป็นอย่างไรต่อไป

ทบทวน+ซักซ้อมความเข้าใจกันนิดหนึ่ง

ตอนก่อน-ตำราดูพระโพธิสัตว์ เท่ากับถามว่า จะเป็นพระโพธิสัตว์ต้องทำอย่างไร

ตอนนี้-คติของพระโพธิสัตว์ เท่ากับถามว่า เป็นพระโพธิสัตว์แล้วทำอย่างไรต่อไป

ตอนก่อนเป็นการกล่าวถึงผู้ที่ปรารถนาจะเป็นพระโพธิสัตว์ว่าจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร 

ขอย้ำว่า-เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ ยังเป็นคนธรรมดาทั่วไปอยู่

คุณสมบัติข้อหนึ่งในจำนวน ๘ ข้อ บอกว่า ต้องเป็นมนุษย์จึงจะตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ได้

มีญาติมิตรท่านหนึ่งแย้งว่า พระโพธิสัตว์เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เช่นเป็นช้าง เป็นกระต่าย เป็นนกคุ่มเป็นต้น

ขอเรียนว่า ที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่นเป็นช้าง เป็นกระต่าย เป็นนกคุ่มเป็นต้นนั้น เป็นหลังจากชาติที่ตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์สำเร็จแล้ว

พูดสั้นๆ เป็นพระโพธิสัตว์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้

แต่สัตว์เดรัจฉานจะตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้

คุณสมบัติข้อหนึ่งบอกว่า ต้องเป็นชายจึงจะตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ได้

ญาติมิตรท่านหนึ่งสงสัยว่า เจ้าแม่กวนอิมเป็นหญิงทำไมเป็นพระโพธิสัตว์ได้

คำตอบคือ เจ้าแม่กวนอิมเป็นพระโพธิสัตว์หรือถูกยกให้เป็นโพธิสัตว์ตามคติความเชื่อของผู้ที่นับถือนิกายหนึ่ง ไม่ใช่เถรวาท

แต่ตามเรื่องเจ้าแม่กวนอิมที่ว่ากันนั้น เดิมท่านเป็นชาย แต่เพราะต้องไปทำกิจในราชสำนักฝ่ายในซึ่งมีแต่หญิง จึงต้องจำแลงเป็นหญิง อันนี้ว่าตามที่ฟังมา

แต่ก็คงได้ความว่า ผู้ที่เรียกกันว่ากวนอิมนั้นจะเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ตาม ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ (ตามที่เชื่อกัน) อยู่แล้ว จึงเป็นคนละประเด็นหรือคนละขั้นตอนกับคุณสมบัติของผู้ตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์

พูดสั้นๆ เป็นหญิงจะตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ไม่สำเร็จ

แต่เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว อาจไปเกิดเป็นหญิงหรือเป็นอะไรอีกบ้าง ก็ว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง (ซึ่งก็พอดีกับเป็นเรื่องที่กำลังจะว่ากันในตอนนี้)

ได้บอกแล้วว่า คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ที่ผมนำมาแสดงนี้เป็นมติของพระพุทธศาสนาเถรวาท เวลาศึกษาจึงต้องจับหลักให้ดี ระวังอย่าเอาไปปนกับมติของนิกายอื่น หรือเอามติของนิกายอื่นมาปน

ของใครของมัน ศึกษาดูเรียนรู้ให้ชัด

นับถือเลื่อมใสแบบไหน ใช้เหตุผลให้ดี

ข้อสำคัญ ต้องแยกให้ชัดเจน

อะไรเป็นหลักที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์

อะไรเป็นความเชื่อความเห็นของเรา

เรามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อไม่เห็นด้วยกับคัมภีร์

แต่อย่าเพิ่งรีบบอกว่า ที่คัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้นๆ น่ะผิด

ต้องที่ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้เห็นอย่างนี้จึงจะถูก

…………………………….

คัมภีร์ แยกไว้ส่วนหนึ่ง ต้องคงไว้ เพราะเป็นหลักการหรือหลักฐาน

ความเห็นของเรา แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นผลจากการศึกษาคัมภีร์

ถ้าแยกกันให้ชัดอย่างนี้ คัมภีร์ก็ยังอยู่ 

ใครใคร่ศึกษาก็มาศึกษาได้เสมอ

ศึกษาแล้วได้ผลเป็นอย่างไรก็มีสิทธิ์ประกาศแสดงออกมาได้

คนอื่นๆ หรือคนในภายหลัง จะเชื่อคัมภีร์ หรือจะเชื่อผลการศึกษาของเราหรือของใคร ก็มีสิทธิ์เลือกเชื่อเอาได้ตามปรารถนา

กระบวนการศึกษาควรดำเนินไปด้วยอาการดังกล่าวนี้

…………………………….

ที่มีปัญหายุ่งอยู่ทุกวันนี้มักเกิดจากการไม่ศึกษาหลักการหลักฐานจากคัมภีร์

เอาความคิดความเห็นความเชื่อของตนนำหน้า

หลักการหลักฐานจากคัมภีร์จะว่าไว้อย่างไร ไม่รับรู้

แต่ยืนยันว่าความคิดความเห็นความเชื่อของข้าพเจ้านี่แหละถูกต้อง

…………………………….

ต่อไปนี้เป็นหลักการที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ว่า เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์แล้วทำอย่างไรหรือเป็นอย่างไรต่อไป

คัมภีร์มธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาของคัมภีร์พุทธวงส์ ตอนโคตมพุทฺธวังสวัณณนา บรรยายถึงผู้ที่เข้าถึงฐานะเป็นพระโพธิสัตว์แล้วมีคติเป็นอย่างไรไว้ดังนี้ –

(เมื่ออ่านคำบาลี ให้ตั้งอารมณ์ว่า-เหมือนท่านกำลังสวดมนต์)

……………………………..

เอวํ สพฺพงฺคสมฺปนฺนา

โพธิยา นิยตา นรา

สํสรํ ทีฆมทฺธานํ

กปฺปโกฏิสเตหิปิ ฯ

นรชนผู้จะได้ตรัสรู้อย่างแน่แท้

ถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบครบถ้วนอย่างนี้

แม้เวียนตายเวียนเกิดตลอดกาลยาวนาน

นับร้อยโกฏิกัป

อวีจิมฺหิ นุปฺปชฺชนฺติ

ตถา โลกนฺตเรสุ จ

นิชฺฌามตณฺหา ขุปฺปิปาสา

น โหนฺติ กาฬกญฺจิกา ฯ

ก็ไม่เกิดในอเวจี

และในโลกันตริกนรก

ไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต 

ขุปปิปาสิกเปรต กาฬกัญชิกาสูร*

น โหนฺติ ขุทฺทกา ปาณา

อุปปชฺชนฺตาปิ ทุคฺคตึ

ชายมานา มนุสฺเสสุ

ชจฺจนฺธา น ภวนฺติ เต ฯ

แม้เข้าถึงทุคติ

ก็ไม่เป็นสัตว์ขนาดเล็ก

เมื่อเกิดในหมู่มนุษย์

ก็ไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด

โสตเวกลฺลตา นตฺถิ

น ภวนฺติ มูคปกฺขิกา

อิตฺถิภาวํ น คจฺฉนฺติ

อุภโตพฺยญฺชนปณฺฑกา ฯ

โสตประสามไม่วิกลวิการบกพร่อง

ไม่เป็นคนประเภทใบ้บ้า

ไม่เป็นสตรี

ไม่เป็นคนสองเพศและไม่เป็นบัณเฑาะก์

น ภวนฺติ ปริยาปนฺนา

โพธิยา นิยตา นรา

มุตฺตา อานนฺตริเกหิ

สพฺพตฺถ สุทฺธโคจรา ฯ

นรชนผู้จะได้ตรัสรู้อย่างแน่แท้

ไม่เป็นผู้นับเนื่องอยู่ในจำพวกดังกล่าว

พ้นจากอนันตริยกรรม

ดำรงชีพอยู่อย่างบริสุทธิ์ในภพทั้งปวง

มิจฺฉาทิฏฺฐึ น เสวนฺติ

กมฺมกิริยทสฺสนา

วสมานาปิ สคฺเคสุ

อสญฺญํ นูปปชฺชเร ฯ

ไม่คบคุ้นในทางมิจฉาทิฏฐิ

มีความเห็นว่าทำกรรมเป็นอันมีผล

แม้เกิดอยู่ในภพภูมิสวรรค์

ก็ไม่เป็นอสัญญีสัตตะ 

(มีร่าง แต่ไม่มีสัญญา-ความจำได้หมายรู้)

สุทฺธาวาเสสุ เทเวสุ

เหตุ นาม น วิชฺชติ

เนกฺขมฺมนินฺนา สปฺปุริสา

วิสํยุตฺตา ภวาภเว

จรนฺติ โลกตฺถจริยาโย

ปูเรนฺติ สพฺพปารมีติ ฯ

ไม่มีเหตุที่จะไปเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส*

เป็นสัตบุรุษผู้น้อมไปในเนกขัมมะ

ไม่ติดข้องในภพน้อยใหญ่

ประพฤติแต่ประโยชน์เกื้อกูลต่อโลก

บำเพ็ญบารมีทั้งปวงไว้พร้อมบริบูรณ์ ดังนี้

…………………

*เนื่องจากเทพชั้นสุทธาวาสไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่พระโพธิสัตว์ต้องมาเกิดและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์-นี่คือการแสดงเหตุผลที่สอดคล้องกับหลักการ

…………………

ที่มา: มธุรัตถวิลาสินี หน้า ๔๘๖

…………………

*นิชฌามตัณหิกเปรต เปรตจำพวกหนึ่ง ถูกความอยากแผดเผาอยู่ตลอดเวลา

*ขุปปิปาสิกเปรต เปรตจำพวกหนึ่ง มีความหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา

*กาฬกัญชิกาสูร อสูรพวกหนึ่งเป็นชั้นต่ำสุดในพวกอสูร ร่างกายสูงประมาณ ๖๐ ถึง ๘๐ ศอก มีแต่หนังหุ้มกระดูก

…………………

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

๑๗:๓๗

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *