คำพยากรณ์สังฆมณฑล (๑)
คำพยากรณ์สังฆมณฑล (๕)
คำพยากรณ์สังฆมณฑล (๕)
—————————–
อภิปราย
………………………………..
เรื่องที่จะอภิปรายต่อไปนี้ เหมาะสำหรับนักเรียนบาลีหรือผู้ที่สนใจการเรียนบาลีโดยเฉพาะ รวมทั้งผู้ที่สนใจเรื่องราวทางพระศาสนา
บอกไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาอ่าน
………………………………..
เรื่อง “คำพยากรณ์สังฆมณฑล” ที่นำเสนอมาตั้งแต่ต้นจนจบไปนั้น มีมาในคัมภีร์เถรคาถา
คัมภีร์เถรคาถาเป็นคัมภีร์ชั้นพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ในรายการคัมภีร์ที่ใช้เป็นแบบเรียนของนักเรียนบาลีในเมืองไทย และนักเรียนบาลีในเมืองไทยเรียนกันเฉพาะคัมภีร์ที่เป็นแบบเรียนเท่านั้น พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ฯลฯ ที่ไม่ใช่แบบเรียนไม่มีใครสนใจที่จะศึกษา ดังนั้น จึงพูดได้โดยไม่ผิดว่า เรื่อง “คำพยากรณ์สังฆมณฑล” นี้ นักเรียนบาลีของเราไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม คาถาบางบทในคำพยากรณ์นอกจากจะมีอยู่ที่เถรคาถาแล้ว ยังมีในคัมภีร์ธรรมบทด้วย นั่นคือคาถาที่ว่า
………………………………..
อนิกฺกสาโว กาสาวํ
โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน
น โส กาสาวมรหติ ฯ
โย จ วนฺตกสาวสฺส
สีเลสุ สุสมาหิโต
อุเปโต ทมสจฺเจน
ส เว กาสาวมรหติ ฯ
………………………………..
คาถา ๒ บทนี้มาในยมกวรรค คัมภีร์ธรรมบท อรรถกถาของคัมภีร์ธรรมบท คือธัมมปทัฏฐกถา เป็นแบบเรียนวิชาแปลมคธเป็นไทยของนักเรียนบาลีชั้นประโยค ๑-๒ และชั้นประโยค ป.ธ.๓ เพราะฉะนั้น คาถา ๒ บทนี้นักเรียนบาลีของเราเคยแปลกันมาแล้ว (ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑ เรื่องเทวทัตตวัตถุ)
ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑ เรื่องเทวทัตตวัตถุที่อ้างถึงนี้ ท่านก็อ้างเรื่องจากคัมภีร์ชาดก คือฉัททันตชาดก อีกทอดหนึ่ง
และเมื่อตามไปดูในคัมภีร์ชาดกก็จะพบว่า นอกจากฉัททันตชาดก ติงสตินิบาตแล้ว คาถา – อนิกฺกสาโว กาสาวํ – ยังมีในกาสาวชาดก ทุกนิบาต (ทุ-กะ-) อีกด้วย
สรุปว่า เรื่อง “คำพยากรณ์สังฆมณฑล” นอกจากจะมีอยู่ในคัมภีร์เถรคาถาแล้ว ยังพาดพิงไปถึงคัมภีร์ธรรมบทและชาดกอีกด้วย และอรรถกถาของคัมภีร์ธรรมบท คือธัมมปทัฏฐกถา เป็นแบบเรียนของนักเรียนบาลีในเมืองไทย เพราะฉะนั้น ก็ต้องสรุปได้โดยไม่ผิดว่า นักเรียนบาลีของเราอยู่ในเส้นทางที่สามารถศึกษาเรื่อง “คำพยากรณ์สังฆมณฑล” ได้ด้วยอย่างแน่นอน-ถ้ามีใจรัก
ทีนี้ก็มาถึงประเด็นที่ผมต้องการจะพูดถึง นั่นก็คือ คาถาแสดงคำพยากรณ์สังฆมณฑลนั้นมีปัญหาอยู่บทหนึ่ง คือบทที่ว่าดังนี้ –
………………………………..
อภิภูตสฺส ทุกฺเขน
สลฺลวิทฺธสฺส รุปฺปโต
ปฏิสงฺขา มหาโฆรา
นาคสฺสาสิ อจินฺติยา ฯ
………………………………..
พระไตรปิฎกแปลฉบับหลวงท่านแปลไว้ดังนี้
………………………………..
เมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียงโอดครวญอย่างใหญ่หลวง
………………………………..
ตามที่แปลนี้ ฟังดูเป็นว่าภิกษุในอนาคตจะมีอาการอย่างนี้ เพราะเป็นเรื่องที่กำลังพยากรณ์ถึงความประพฤติของภิกษุในอนาคตอยู่
ฝ่ายพระไตรปิฎกแปลฉบับมหาจุฬาฯ ซึ่งปรับปรุงแปลใหม่จากฉบับหลวง แปลคาถาบทนี้ดังนี้
………………………………..
[๙๖๗] การไม่คิดพิจารณาให้ดี
ได้เป็นความเลวร้ายอย่างใหญ่หลวงของพญาช้าง
ที่ถูกลูกศรเสียบแทง
ถูกทุกขเวทนาครอบงำทุรนทุรายอยู่
………………………………..
ข้างฝ่ายผม แปลคาถาบทนี้ว่าดังนี้ –
………………………………..
(พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัททันต์)
ถูกหอกอาบยาพิษของพรานแทงทะลุร่าง
ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาท (แต่) เมื่อใคร่ครวญแล้ว
ยังหักใจได้ (ไม่ทำร้ายพรานผู้อาศัยผ้ากาสาวะคลุมร่าง
ก็ภิกษุเหล่านั้นครองผ้ากาสาวะอยู่แท้ๆ
ไฉนจึงไม่งดเว้นจากทุจริตกรรมเล่า)
………………………………..
จะเห็นได้ว่า ต้นฉบับภาษาบาลีเหมือนกัน แต่แปลเป็นภาษาไทยแล้วไม่ตรงกันเลย รูปความไปคนละเรื่อง
คาถาบทถัดไปมีข้อความดังนี้
………………………………..
ฉทฺทนฺโต หิ ตทา ทิสฺวา
สุรตฺตํ อรหทฺธชํ
ตาวเทว ภณี คาถา
คโช อตฺโถปสญฺหิตา ฯ
………………………………..
พระไตรปิฎกแปลฉบับหลวงท่านแปลไว้ดังนี้
………………………………..
เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ ได้เห็นผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมายว่า
………………………………..
พระไตรปิฎกแปลฉบับมหาจุฬาฯ แปลไว้ดังนี้
………………………………..
[๙๖๘] เพราะครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัททันต์
ได้เห็นผ้ากาสาวะ ซึ่งโสณุตตรพรานคลุมร่างไว้
ที่ย้อมดีแล้วเป็นธงชัยของพระอรหันต์
ได้กล่าวภาษิตที่ประกอบด้วยประโยชน์ในขณะนั้นแหละว่า
………………………………..
ข้างฝ่ายผม แปลคาถาบทนี้ว่าดังนี้ –
………………………………..
ในคราวนั้นแล พญาช้างฉัททันต์ได้เห็น –
ผ้ากาสาวะที่ย้อมดีแล้ว อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์
ในขณะนั้นเองก็ได้กล่าวคาถา –
อันประกอบด้วยประโยชน์ (ว่า -)
………………………………..
บทนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้อยคำผิดผิดแผกกันบ้าง แต่ได้ใจความไปในทำนองเดียวกัน
นักเรียนบาลีท่านใดเห็นว่าที่แปลมานั้น สำนวนไหนแปลผิดแปลถูกอย่างไร หรือควรจะแปลอย่างไรจึงจะถูกต้อง สามารถแปลใหม่ได้เลยนะครับ เป็นโอกาสที่จะแสดงความสามารถแล้ว
แหล่งที่ควรจะตามไปศึกษาดูได้คือลิงก์ข้างล่างนี้
………………………………..
ปุสสเถรคาถาแปล
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7980&Z=8048
………………………………..
อรรถกถาปุสสเถรคาถาแปล
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=395
………………………………..
ผู้ที่เรียนบาลีจะได้เปรียบตรงที่สามารถจะวินิจฉัยใคร่ครวญได้ว่าพระไตรปิฎกแปลเป็นไทยแปลผิดแปลถูกอย่างไร ตลอดจนสามารถตามไปศึกษาคำอธิบายของอรรถกถาเป็นแนวทางในการพิจารณาตัดสินได้ด้วย
แต่ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้เรียนบาลี ไม่รู้ภาษาบาลี อ่านแต่คำแปลอย่างเดียว จะต้องเจอกับอะไรบ้าง?
และถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักปฏิบัติ แสดงวิธีปฏิบัติ แล้วแปลผิดแผกแตกต่างกันไปแบบนี้ ผู้เอาไปปฏิบัติจะต้องเจอกับอะไรบ้าง?
และนี่เพียงแค่จุดเดียวในพระไตรปิฎก ยังจะมีอีกกี่จุดในพระไตรปิฎกที่มีปัญหาในการแปลทำนองเดียวกันนี้ ทำอย่างไรจึงจะรู้
และที่สำคัญ ใครจะเป็นผู้ทำ?
เวลานี้นักเรียนบาลีของเราเรียนบาลีโดยมีเป้าหมายที่จะให้ได้ “สิทธิ” อันเกิดจากการสอบได้สอบผ่าน และเราก็ช่วยกันสนับสนุนส่งเสริมให้นักเรียนบาลีไปให้ถึงจุดนั้น
แต่ที่เราละเลยหลงลืมแทบจะหมดสิ้นก็คือ “หน้าที่” ของผู้ที่สอบได้สอบผ่านแล้ว ซึ่งถือว่าเป็น “หน้าที่ของนักเรียนบาลี” นั่นก็คือการนำเอาความรู้ที่ได้จากเรียนไป “จัดการ” กับพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ฯลฯ ตามแนวทางการจัดการ กล่าวคือ –
๑ ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจว่าพระธรรมวินัยที่ถูกต้องคืออย่างไร
๒ แล้วเอามาฝึกหัดขัดเกลากับตัวเอง
๓ แล้วประกาศเผยแผ่ให้แพร่หลายต่อไปอีก
“หน้าที่ของนักเรียนบาลี” ดังกล่าวนี้ นักเรียนบาลีของเราแทบจะไม่ได้ทำ แล้วก็แทบจะไม่มีใครสนับสนุนส่งเสริมให้ทำด้วย
ตรงกันข้าม เรากลับพยามช่วยกันหาเหตุผลมาสนับสนุนว่า การที่นักเรียนบาลีของเราไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ ไม่ได้เป็นความผิดหรือความบกพร่องอะไร
เหตุผลข้อหนึ่งที่นิยมยกขึ้นมาอ้าง และดูจะมีผู้เห็นด้วยกันทั่วไปก็คือ ใครจะทำหน้าที่ดังว่านั้นหรือจะไม่ทำ ควรเป็นไปตามอัธยาศัย
เคยมีใครเฉลียวใจฉุกคิดบ้างว่า – “ควรเป็นไปตามอัธยาศัย” – เหตุผลแบบนี้แหละ ในที่สุดจะนำไปสู่ความหายนะของพระพุทธศาสนา?
ถ้ายังไม่เคยคิด ผมจะลองชวนให้คิดดู-ตอนหน้า
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๔ ธันวาคม ๒๕๖๔
๑๖:๕๔
………………………………..
คำพยากรณ์สังฆมณฑล (๖)
………………………………..
คำพยากรณ์สังฆมณฑล (๔)