พระธรรมวินัยกับพระเณร
พระธรรมวินัยกับพระเณร
—————————
กฎเกณฑ์กับกาพย์กลอน
………….
ถ้าจะแต่งกลอนสักบท สิ่งแรกที่จะต้องรู้ เข้าใจ และยอมรับ คือ “กฎเกณฑ์” ฉันใด
ถ้าใครสักคนจะครองเพศเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา สิ่งแรกที่จะต้องรู้ เข้าใจ และยอมรับ คือ “พระธรรมวินัย” ก็ฉันนั้น
คำที่ไม่มีกฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์ จะเป็นกาพย์กลอนไม่ได้ ฉันใด
คนที่ไม่มีพระธรรมวินัย ก็เป็นพระเณรไม่ได้ ฉันนั้น
เวลานี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ คนที่เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาในบ้านเราพากันละเลยการศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัย
เมื่อไม่ได้ศึกษา สังเกต สำเหนียก ว่าอะไรห้ามทำ อะไรต้องทำ ก็พากันทำสิ่งที่ต้องห้ามและละเลยที่ต้องทำกันทั่วไปหมด
ไม่ต่างอะไรกับคนแต่งกาพย์กลอนที่ไม่ได้ศึกษา สังเกต สำเหนียกว่ากฎเกณฑ์ของกาพย์กลอนมีอะไรบ้าง ก็พากันแต่งกาพย์กลอนที่วิปริตผิดฉันทลักษณ์กันทั่วไปหมดฉะนั้น
กรณีแต่งกาพย์กลอนนั้นอาจอ้างได้ว่า เพื่อไม่ให้จำเจอยู่กับกฎเกณฑ์คือฉันทลักษณ์เดิมๆ เก่าๆ เป็นการซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย และเป็นวิถีทางสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้แก่วงวรรณกรรม เมื่อทำกันมากๆ ก็กลายเป็นที่ยอมรับ อย่างที่วงการกาพย์กลอนบ้านเรามีคำว่า “ปลดแอกฉันทลักษณ์” คือแต่งคำประพันธ์โดยไม่ต้องคำนึงถึงถ้อยคำสัมผัสใดๆ ขอให้มีเนื้อหาแนวคิดแปลกแหวกแนวก็เป็นอันใช้ได้ และอาจเป็นที่ยอมรับชื่นชมยินดียกย่องกันทั่วไปอีกด้วย
แต่พระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนานั้นไม่เหมือนกฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์ที่อาจปลดแอกทิ้งไปแล้วสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาแทนดังที่นิยมทำกันในปัจจุบัน
พระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาเป็นองค์พระศาสดา
ดังที่ในพระไตรปิฎกมีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ชัดเจนว่า –
……………………………………..
โย โว อานนฺท มยา
ธมฺโม จ วินโย จ
เทสิโต ปญฺญตฺโต
โส โว มมจฺจเยน สตฺถา.
ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันใด
ที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่พวกเธอ
ธรรมและวินัยอันนั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอ
เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค
พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๑๔๑
……………………………………..
ถ้าเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัย ก็เท่ากับเปลี่ยนพระศาสดา
และเท่ากับเปลี่ยนพระศาสนานั่นเอง
กลอนที่ไม่มีกฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์ คนที่ชอบแบบนั้นด้วยกันก็ยังยอมรับว่าเป็นกลอนชนิดหนึ่งอยู่นั่นเอง
ถ้าพระเณรไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย เราควรจะยอมรับกันละหรือว่า-แบบนั้นก็ยังเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง?
และถ้าพระพุทธศาสนาไม่มีพระธรรมวินัยเป็นหลัก เราควรจะยอมรับกันละหรือว่า-แบบนั้นก็ยังเป็นพระพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง?
————
ปัญหาที่ฝังรากลึกและกำลังขยายตัวอยู่ในเวลานี้ก็คือ พระภิกษุสามเณรและชาวพุทธในเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในหลักพระธรรมวินัย จะเลื่อมใสใครหรืออะไรอย่างไร เอาความถูกใจตัวเองเป็นหลัก
เมื่อถูกใจแล้ว จะถูกจะผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ ไม่รับรู้ คงยึดถืออยู่แต่ว่าฉันศรัทธาแบบนี้ เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เท่านั้นพอ
ผลร้ายที่ตามมาก็คือ พระเณรเองก็จะหลงทาง คือไม่ได้เอาพระธรรมวินัยเป็นเกณฑ์ประพฤติปฏิบัติ แต่ชี้วัดกันด้วยจำนวนญาติโยมที่ศรัทธา
และในที่สุดก็จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ขึ้นมา นั่นคือ อะไรที่ญาติโยมเขายอมรับได้ พระก็ทำได้ พระธรรมวินัยเอาไว้ต่างหาก
การอ้างว่าญาติโยมเขายอมรับได้นั้นนับว่าเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการเปลี่ยนรากฐานของพระศาสนาจากพระธรรมวินัยมาอยู่ที่การยอมรับได้ของสังคม
ในสังคมพุทธศาสนามหายาน พระทำอะไรๆ ได้มากมายโดยที่สังคมยอมรับว่าท่านยังเป็นพระอยู่ อย่างที่เรารู้กัน พระตั้งบริษัทธุรกิจ พระตั้งพรรคการเมือง ไปจนกระทั่ง-พระมีเมีย เหล่านี้สังคมของเขายอมรับได้ทั้งสิ้น คือยอมรับว่าแม้ท่านทำอย่างนั้นท่านก็ยังเป็น “พระ” ของสังคมอยู่นั่นเอง
โดยพากันลืมไปสิ้นว่า “พระ” ตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้
เวลานี้ ในบ้านเรา พระที่อุ้มแม่ กอดแม่ ไหว้แม่ ก็เริ่มมีคนส่วนหนึ่งยกย่องสรรเสริญว่าเป็นพระที่ดีไปแล้ว
ถ้าเอาการยอมรับของสังคมเป็นมาตรฐาน ก็เชื่อได้ว่าอีกไม่นานพระไทยก็จะค่อยๆ กลายเป็นพระมหายานไปโดยอัตโนมัติ
ดังที่เวลานี้ บางวัด เวลาทำงานโยธาภายในวัด พระนุ่งกางเกงสวมเสื้อเหลืองเหมือนพระมหายานไปแล้วก็มี แล้วก็ไม่มีใครเห็นว่าแปลกประหลาดอะไรไปแล้วด้วย
————
ความวิปริตที่ว่ามานี้ยังนับว่าเป็นเพียง “ชั้นหน้าดิน” คือชั้นตื้น เพราะยังเป็นเพียงแค่ไม่รับรู้พระธรรมวินัยเท่านั้น (พระธรรมวินัยมีอยู่ แต่ฉันไม่รับรู้)
แต่ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกนั้นจะเป็น “ชั้นใต้ดิน” คือชั้นลึก นั่นคือ ต่อไปจะลุกลามไปถึงขั้นปฏิเสธพระธรรมวินัย กล่าวคือจะมีการอ้างว่าที่พระธรรมแสดงไว้อย่างนี้ พระวินัยบัญญัติไว้อย่างนี้นั้นไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะแก่ยุคสมัย ที่ถูกต้องและทันสมัยจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจและอย่างที่ข้าพเจ้ากำลังทำอยู่นี่
เหมือนคนแต่งกลอนสมัยใหม่ที่บอกว่า กลอนที่ดีต้องเป็นกลอนที่ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์อย่างที่ฉันกำลังแต่งอยู่นี่ และผู้คนทั้งหลายเขาก็นิยมแต่งแบบนั้นกันอยู่นี่
กฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์ทิ้งลงถึงขยะไปได้แล้วฉันใด
พระธรรมวินัยก็โละทิ้งไปได้แล้วฉันนั้น
————
ในสภาพปัจจุบันที่ผู้บริหารการพระศาสนาของเรายังไม่ยอมขยับตัวเพื่อแก้ปัญหาใดๆ ทางแก้-ทางรอดมีอยู่ทางเดียวคือ แต่ละคนต้องศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยกันให้มากขึ้น และช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยกันให้มากขึ้นด้วยไปพร้อมๆ กัน
ใครถนัดเรียน เรียน
ใครไม่ถนัดเรียน ก็หันไปทำงานสนับสนุนส่งเสริมคนถนัดเรียน
การเรียนบาลีนั้นเราไปถูกทางแล้ว แต่ต้องเน้นย้ำ “การเรียนเพื่อเอาความรู้ที่ถูกต้องไปปฏิบัติจริง” กันให้เข้มข้นขึ้นอีกมากๆ
จุดอ่อนหรือจุดอับของพวกเราก็คือ มากไปด้วยคนที่บ่นว่าต่างๆ แต่คนที่ลงมือแก้ปัญหาไม่มีหรือมีก็น้อยอย่างยิ่ง
เหมือนมีแต่คนที่ตะโกนบอกว่าไฟไหม้ ไฟไหม้
แต่คนที่ลงมือดับไฟไม่มี
เพราะฉะนั้น ลองจัดตารางเวลาให้ตัวเองว่า จะเรียนพระธรรมวินัยให้ได้วันละกี่ชั่วโมง
แล้วก็ลองศึกษาวิธีปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องแยกเวลาออกไปจากชีวิตประจำวันว่าทำอย่างไร ทำได้ไหม แล้วหัดทำเข้า
ศึกษาเรียนรู้แล้ว ได้ความรู้มาแล้ว เอาไปปฏิบัติจริงๆ แล้ว ก็เอาไปบอกต่อๆ กันไปอีก
ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่มีคนทำ อย่างน้อยก็มีเราคนหนึ่งนี่ไงล่ะที่กำลังทำอยู่
ยังมีคนแต่งกลอนโดยยึดกฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์อยู่-แม้แต่คนเดียว-ตราบใด กลอนไทยก็ยังไม่สูญหายตราบนั้น-ฉันใด
ยังมีคนเรียนรู้และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่-แม้แต่คนเดียว-ตราบใด
พระศาสนาที่ถูกต้องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะยังไม่สูญหายตราบนั้น-ฉันนั้น
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๕ มกราคม ๒๕๖๔
๑๑:๔๐
……………….