อปโลกน์ เรื่องที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่อีกเยอะ
อปโลกน์ เรื่องที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่อีกเยอะ
————————————–
คำว่า “อปโลกน์” ก็คือที่ชาวบ้านมักออกเสียงว่า อุบ-ปะ โหฺลก ที่คุ้นกันดีก็คือ คำที่พระท่านว่าหลังจากญาติโยมกล่าวคำถวายภัตตาหารในการทำบุญวันพระ
“อปโลกน์” นั้น ชื่อเต็มคือ “อปโลกนกรรม”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ขยายความคำว่า “อปโลกนกรรม” ไว้ดังนี้ –
………………………………………………….
อปโลกนกรรม : กรรมคือการบอกเล่า, กรรมอันทำด้วยการบอกกันในที่ประชุมสงฆ์ ไม่ต้องตั้งญัตติ คือคำเผดียง ไม่ต้องสวดอนุสาวนา คือประกาศความปรึกษาและตกลงของสงฆ์ เช่นประกาศลงพรหมทัณฑ์ นาสนะสามเณรผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า อปโลกน์แจกอาหารในโรงฉัน เป็นต้น.
………………………………………………….
สรุปว่า “อปโลกน์” หมายถึงการที่สงฆ์ประกาศมติหรือข้อตกลงเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สงฆ์ด้วยกันรับทราบ
ในการทำบุญวันพระตามวัดทั่วไป มีการถวายภัตตาหารให้เป็นของสงฆ์ เรียกรู้กันว่า “ถวายสังฆทาน” เมื่อกล่าวคำถวายแล้ว ภิกษุรูปหนึ่งจะกล่าวคำอปโลกน์ คือการประกาศว่าสงฆ์จะทำอย่างไรกับของที่มีผู้ถวายเป็นของสงฆ์
บางท่านเข้าใจว่า ถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ถ้าไม่อปโลกน์ก็ไม่เป็นสังฆทาน
คำอปโลกน์แจกอาหาร หรืออปโลกน์หลังถวายสังฆทาน มีดังนี้
………………………………………………….
(ตั้งนะโมสามจบ)
อะยัง ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ปาปุณาติ, อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ.
ทุติยัมปิ … ฯลฯ … อัมหากัง ปาปุณันติ.
ตะติยัมปิ … ฯลฯ … อัมหากัง ปาปุณันติ.
ความหมายในคำอปโลกน์นั้นมีอยู่ว่า – สิ่งของส่วนแรกนี้ยกให้แก่พระเถระ (คือพระภิกษุที่เป็นประธานอยู่ในที่ประชุมนั้น) ส่วนที่เหลือตกเป็นของพวกเราคือพระสงฆ์สามเณรทั้งหลาย
………………………………………………….
บางแห่งมีคำอปโลกน์เป็นภาษาไทยด้วย มีสำนวนน่าฟังดี ขอยกมาสู่กันฟังดังนี้ –
………………………………………………….
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ ขอพระสงฆ์ทั้งปวงจงฟังคำข้าพเจ้า
บัดนี้ ทายกทายิกาผู้มีจิตศรัทธาได้น้อมนำมาซึ่งภัตตาหารมาถวายเป็นสังฆทานแก่พระภิกษุสงฆ์ อันว่าสังฆทานนี้ย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ สมเด็จพระพุทธองค์จะได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นของภิกษุรูปหนึ่งรูปใดก็หามิได้ เพราะเป็นของได้แก่สงฆ์ทั่วสังฆมณฑล พระพุทธองค์ตรัสว่าให้แจกกันตามบรรดาที่มาถึง
ฉะนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าจะสมมติตนเป็นผู้แจกของสงฆ์ พระสงฆ์ทั้งปวงจะเห็นสมควรหรือไม่เห็นสมควร ถ้าเห็นว่าไม่เป็นการสมควรแล้วไซร้ ขอจงได้ทักท้วงขึ้นในท่ามกลางสงฆ์อย่าได้เกรงใจ ถ้าเห็นว่าเป็นสมควรแล้วก็จงเป็นผู้นิ่งอยู่ (หยุดนิดหนึ่ง) บัดนี้ พระสงฆ์ทั้งปวงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าจักรู้ได้ว่าเป็นการสมควรแล้ว จะได้ทำการแจกของสงฆ์ต่อไป ณ กาลบัดนี้
อะยัง ปะฐะมะภาโค มะหาเถรัสสะ ปาปุณาติ ส่วนที่ ๑ ย่อมถึงแก่พระเถระผู้ใหญ่ผู้อยู่เหนือข้าพเจ้า
อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณนฺติ ส่วนที่เหลือจากพระเถระผู้ใหญ่แล้วย่อมถึงแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตามบรรดาที่มาถึงพร้อมกันทุกๆ รูป (ตลอดถึงสามเณรด้วย) เทอญ
………………………………………………….
จะเห็นได้ว่า ใจความในคำอปโลกน์ก็เป็นแต่เพียงสงฆ์ตกลงกันว่าจะแจกของกันอย่างไรเท่านั้น
สิ่งของ (ทั้งของฉันและของใช้) เมื่อผู้ถวายตั้งเจตนาถวายให้เป็นของสงฆ์และได้มอบถวายไปเสร็จแล้ว ก็เป็น “สังฆทาน” ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าสงฆ์จะต้องทำอปโลกนกรรม (อปโลกน์) เสียก่อนจึงจะสำเร็จเป็นสังฆทาน
อปโลกน์ จึงมิใช่พิธีกรรมเพื่อทำของสิ่งนั้นให้เป็นของสงฆ์ หรือเพื่อให้สำเร็จเป็นสังฆทาน ดังที่บางคนเข้าใจ
บางท่านไปทำบุญวันพระที่วัด ถ้าวัดไหนไม่อปโลกน์ ก็จะไม่กินข้าววัดนั้น อ้างว่ากินของสงฆ์เป็นบาป เนื่องจากสงฆ์ยังไม่ได้อนุญาตด้วยการอปโลกน์
เพราะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า ต้องอปโลกน์เสียก่อนญาติโยมชาวบ้านจึงจะสามารถรับประทานอาหารหลังจากพระสงฆ์ฉันแล้วได้ บางวัดจึงเพิ่มข้อความในคำอปโลกน์ที่เป็นภาษาไทยเข้าไปอีก เช่นว่า …. เมื่อพระสงฆ์ฉันแล้ว อาหารเหล่านี้ขอให้ตกเป็นของญาติโยมอุบาสกอุบาสิการับประทานกันต่อไป …. อะไรทำนองนี้
ความจริงแล้ว อาหารที่เหลือจากพระสงฆ์ฉัน ไม่ว่าจะเป็นของที่ตักฉันแล้วหรือไม่ได้ตักฉันเลยก็ตาม (เว้นไว้แต่ส่วนที่เก็บกันเอาไว้ฉันมื้อเพล) เป็นของที่เรียกว่า “เป็นเดน” โดยหลักพระวินัยแล้วพระสงฆ์จำต้องสละสิทธิ์ คือต้องทิ้งไป เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระจะอปโลกน์หรือไม่อปโลกน์ ญาติโยมชาวบ้านก็สามารถรับประทานได้อยู่แล้ว มิใช่ว่าต้องอปโลกน์เสียก่อนจึงจะรับประทานได้
ศึกษาดูคำอปโลกน์ที่เป็นภาษาบาลีก็จะเห็นได้แล้วว่า เป็นคำที่สงฆ์ท่านแจกของกัน ไม่เกี่ยวกับเรื่องอนุญาตให้ญาติโยมรับประทานได้แต่ประการใดเลย
อปโลกน์จึงไม่ใช่พิธีกรรมเพื่อทำให้ญาติโยมชาวบ้านสามารถรับประทานอาหารที่ถวายเป็นของสงฆ์แล้วได้ ดังที่บางคนเข้าใจ
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๗ มกราคม ๒๕๖๕
๐๙:๓๕
………………………………………
อปโลกน์ เรื่องที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่อีกเยอะ