หอไตร
หอไตร
——-
คำว่า “หอไตร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกความหมายไว้ว่า –
………………………………………
หอไตร : (คำนาม) หอสําหรับเก็บพระไตรปิฎก.
………………………………………
สมัยพุทธกาล การศึกษาพระธรรมวินัยใช้วิธีทรงจำคำสอนไว้ด้วยใจ ยังไม่มีระบบบันทึกคำสอนเป็นเล่มคัมภีร์
จนเมื่อพระพุทธศาสนาแพร่หลายไปตั้งมั่นอยู่ในลังกาทวีป พระเถระผู้บริหารการพระศาสนาคำนึงว่า สืบไปภายหน้ากุลบุตรจะถอยปัญญา บมิอาจจะทรงจำคำสอนไว้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนกาลก่อน ควรจารึกพระธรรมวินัยลงเป็นลายลักษณ์อักษร จึงประชุมกันจารพุทธพจน์ลงในใบลานเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๕ (พ.ศ.๔๕๐ บางมติว่า พ.ศ.๔๓๖) พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือเล่มคัมภีร์ที่เรียกรู้กันว่า “พระไตรปิฎก” จึงมีมาตั้งแต่บัดนั้น
ตั้งแต่นั้น พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปถึงถิ่นไหน พระไตรปิฎกก็มีไปถึงถิ่นนั้น และมีผู้มีจิตศรัทธานิยมคัดลอกพระไตรปิฎกหรือที่เรียกกันในภาษาไทยสมัยเก่าว่า “สร้าง” แล้วนำไปถวายภิกษุหรือถวายไว้ประจำวัดเพื่อใช้ศึกษาพระธรรมวินัย นับถือกันว่าเป็นของสำคัญเสมือนเป็นองค์พระบรมศาสดา และถือว่าเป็นวิธีสืบอายุพระศาสนาที่สำคัญยิ่ง
ด้วยเหตุว่าเป็นของสำคัญเช่นนี้จึงต้องมีสถานที่เก็บรักษาโดยเฉพาะโดยนิยมสร้างขึ้นเป็นเอกเทศต่างหากจากเสนาสนะอื่นๆ ในภาษาไทยเรียกสถานที่เก็บรักษาพระไตรปิฎกว่า “หอพระไตรปิฎก” และเรียกตัดลัดลงไปเป็น “หอไตร”
เมื่อมีการสร้างอารามถวายเป็นของสงฆ์แพร่หลายขึ้นแล้ว “หอไตร” จึงเป็นส่วนหนึ่งที่นิยมสร้างขึ้นไว้ในอาราม เป็นที่สำหรับให้ภิกษุค้นคว้าศึกษาพระธรรมวินัยประจำอารามนั้นๆ การสร้าง “หอไตร” ขึ้นในวัดได้กลายเป็นแบบแผนในการสร้างวัดสืบมาจนถึงปัจจุบัน
และ “หอไตร” จึงเป็น “หอ” ที่สำคัญในบรรดา “ห้าหอ” ที่วัดต่างๆ อันสร้างถูกต้องตามแบบแผนจะต้องมี กล่าวคือ
๑ หอฉัน
๒ หอสวดมนต์
๓ หอระฆัง
๔ หอกลอง
๕ หอไตร
………………………………………
๏ ถ้าไม่ทำวัดให้เป็นศูนย์การศึกษาพระธรรมวินัย
ถึงจะมีหอไตรก็เหมือนไม่มี
๏ ถ้าทำวัดให้เป็นศูนย์การศึกษาพระธรรมวินัย
วัดทั่วแผ่นดินไทยก็เป็นหอไตรทันที
………………………………………
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๑๗ มกราคม ๒๕๖๕
๑๕:๔๑
………………………………………
หอไตร