คำชักผ้าบังสุกุล
คำชักผ้าบังสุกุล
—————–
คำชักผ้าบังสุกุลในที่นี้ หมายถึงคำที่พระสงฆ์ท่านกล่าวเมื่อชักผ้าบังสุกุล ซึ่งเวลานี้นิยมเรียกกันเพี้ยนๆ ว่า “พิจารณาผ้า” เพราะความจริงแล้วเป็นการ “พิจารณาศพ” ไม่ใช่พิจารณาผ้า ในกรณีที่ไม่มีศพ แต่มีสิ่งอื่นอันเนื่องด้วยผู้ตาย เช่น อัฐิ รูปถ่าย หรือรายชื่อ ก็เป็นการพิจารณาสังขารอันจะต้องแตกดับไปเป็นธรรมดา
ถ้ามีผ้าทอดด้วย ก็หมายถึงพิจารณาศพหรือพิจารณาสังขารแล้วชักผ้าบังสุกุล
แต่บางทีเจ้าภาพไม่มีผ้าทอด พระสงฆ์จับภูษาโยง คือแถบผ้าที่โยงมาจากศพหรือจากอัฐิ แล้วก็กล่าวคำพิจารณาสังขาร กรณีไม่มีผ้าทอดแม้จะไม่ได้ชักผ้าบังสุกล ก็เรียกว่า “คำบังสุกุล” โดยอนุโลม
คงมีคนรู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นการพิจารณาศพ แต่เมื่อใช้คำว่า “พิจารณาผ้า” จนเพลินไป ถอยกลับไม่ได้ ก็จึงมีท่านผู้ทำหน้าที่ “อธิบายผิดให้เป็นถูก” ออกมาอธิบายว่า – เป็นการที่พระสงฆ์ท่านพิจารณาปัจจัยสี่ตามหลักอภิณหปัจจเวกขณะ คือพิจารณาขณะรับ พิจารณาขณะบริโภคใช้สอย และพิจารณาหลังจากบริโภคใช้สอยแล้ว ใช้คำว่า “พิจารณาผ้า” จึงเป็นการถูกต้องแล้ว – ไปโน่น
ถ้าอธิบายอย่างนี้ คำพิจารณาผ้าก็ต้องเป็น “ปฏิสงฺขา โย” หรือไม่ก็ “ยถาปจฺจยํ” หรือไม่ก็ “อชฺช มยา” อันเป็นบทอภิณหปัจจเวกขณะ
ไม่ใช่ “อนิจฺจา วต สงฺขารา”
พระที่ได้รับอาราธนาขึ้นไป “พิจารณาผ้า” ท่านว่า “อนิจฺจา วต สงฺขารา” ทุกที เป็นคำพิจารณาศพ ไม่ได้พิจารณาผ้าดังที่อธิบายผิดให้เป็นถูก
ก็ต้องหาคำอธิบายต่อไปอีก
แก้ไขโดยใช้คำเรียกให้ถูกต้องเสียก็หมดเรื่อง
…………………….
คำชักผ้าบังสุกุลที่พระสงฆ์กล่าวโดยทั่วไปในเวลานี้มีข้อความดังนี้ –
อนิจฺจา วต สงฺขารา
อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ
เตสํ วูปสโม สุโข.
แปลว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีการเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา
สังขารทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
การเข้าไประงับดับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข
…………..
คำชักผ้าบังสุกุลบทนี้เป็นพระพุทธพจน์ มีมาในมหาสุทัสสนสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๑๘๖ ในพระไตรปิฎกอีกหลายแห่งปรากฏเป็นคำที่ผู้อื่นนำไปกล่าวก็มี
ความจริงคำชักผ้าบังสุกุลยังมีต่อไปอีกบทหนึ่ง ข้อความเป็นดังนี้ –
สพฺเพ สตฺตา มรนฺติ จ
มรึสุ จ มริสฺสเร
ตเถวาหํ มริสฺสามิ
นตฺถิ เม เอตฺถ สํสโย.
แปลว่า
สัตว์ทั้งหลายทุกหมู่เหล่า กำลังตายก็มี
ตายไปแล้วก็มี จักตาย (ต่อไปอีก) ก็มี
เราเองก็จักต้องตายเช่นเดียวกัน
ในเรื่องตายนี้เราไม่มีความสงสัยเลย
…………..
คำชักผ้าบังสุกุลบทที่ ๒ นี้ยังไม่พบที่มาในพระไตรปิฎก น่าจะเป็นคำที่แต่งขึ้นในภายหลัง
สมัยที่ผมเป็นเด็กวัดหนองกระทุ่ม อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี (พ.ศ.๒๔๙๖-๒๕๐๐) ยืนยันได้ว่าพระสงฆ์ในพื้นถิ่นนั้นกล่าวคำชักผ้าบังสุกุลควบกันทั้งสองบทเสมอ
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๖ ผมมาอยู่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี พระสงฆ์ในตัวเมืองในสมัยนั้นก็กล่าวคำชักผ้าบังสุกุลควบกันทั้งสองบท
ผมลาสิกขาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ จำได้ว่าพระสงฆ์ในตัวเมืองในเวลานั้นยังกล่าวคำชักผ้าบังสุกุลควบกันทั้งสองบท แต่บางวัดเริ่มจะกล่าวเฉพาะบทแรกบทเดียวกันบ้างแล้ว
หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นอันแน่นอนว่า พระสงฆ์กล่าวคำชักผ้าบังสุกุลเฉพาะบทแรกบทเดียว
ยังไม่พบคำอธิบายเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวบทเดียว
ได้แต่สันนิษฐานว่า เวลาเร่งรัด-จำกัดด้วยเวลา ทั้งโยมทั้งพระมีภารกิจอื่นที่จะต้องรีบไปทำ
เป็นเหตุผลเดียวกับที่-บทเจริญพระพุทธมนต์สมัยนี้ถูกตัดสวดลัดๆ กันมาก เช่นบทธชัคคสูตร สวดแบบ “ชักไส้” คือเอาเฉพาะตอนที่เป็นพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณมาสวด ไม่สวดบทเต็ม
จนกระทั่งพระสงฆ์สมัยนี้น่าจะสวดธชัคคสูตรเต็มๆ ไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม วัดที่ยังกล่าวคำชักผ้าบังสุกุลเต็มทั้งสองบทก็ยังมีอยู่บ้าง แต่มีผู้อธิบายเสริมเข้ามาว่า วัดที่กล่าวทั้งสองบท (อนิจฺจา … วูปสโม สุโข, สพฺเพ สตฺตา … เอตฺถ สํสโย.) เป็นวัดนิกายหนึ่ง วัดที่กล่าวเฉพาะบทเดียว (อนิจฺจา … วูปสโม สุโข.) เป็นวัดอีกนิกายหนึ่ง
เป็นคำอธิบายที่ฟังได้ แต่ยังเชื่อไม่ได้
ผมขอยืนยันว่า พระสงฆ์สมัยก่อนไม่ว่าจะนิกายไหนกล่าวคำชักผ้าบังสุกุลควบกันทั้งสองบทเสมอ
ถ้าญาติโยมเจ้าภาพสมัยนี้จะกรุณาเพิ่มเวลาให้พระสงฆ์อีกสักนิด และถ้าพระสงฆ์สมัยนี้จะมีเมตตาสละเวลาเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย กล่าวคำชักผ้าบังสุกุลให้ครบทั้งสองบททุกครั้งไป ผมจะกราบอนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่ง
…………………………………….
ถ้าลดเวลาที่จะทำชั่ว เป็นการดี
การลดเวลาที่จะทำดี ก็เป็นการชั่ว
…………………………………….
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๗:๕๕
…………………………………….
คำชักผ้าบังสุกุล
…………………………………….