ปริยัตติอันตรธาน (บาลีวันละคำ 3,602)
ปริยัตติอันตรธาน
อันตรธานที่ 3-ศึกษาสูญ
อ่านว่า ปะ-ริ-ยัด-ติ-อัน-ตะ-ระ-ทาน
“ปริยัตติอันตรธาน” เป็น 1 ในอันตรธาน 5 คือ (1) อธิคมอันตรธาน (2) ปฏิปัตติอันตรธาน (3) ปริยัตติอันตรธาน (4) ลิงคอันตรธาน (5) ธาตุอันตรธาน
“ปริยัตติอันตรธาน” ประกอบด้วยคำว่า ปริยัตติ + อันตรธาน
(๑) “ปริยัตติ”
เขียนแบบบาลีเป็น “ปริยตฺติ” อ่านว่า ปะ-ริ-ยัด-ติ รากศัพท์มาจาก ปริ (คำอุปสรรค = รอบๆ, ทั่วไป) + อปฺ (ธาตุ = ถึง, บรรลุ) + ต ปัจจัย, ลง ย อาคมระหว่างอุปสรรคกับธาตุ (ปริ + ย + อปฺ), แปลง ป ที่สุดธาตุเป็น ต (อปฺ > อตฺ) + อิ ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: ปริ + ย + อปฺ = ปริยปฺ + ต = ปริยปฺต > ปริยตฺต + อิ = ปริยตฺติ แปลตามศัพท์ว่า (1) “ข้ออันผู้ต้องการประโยชน์พึงเล่าเรียน” (2) “ข้อที่สามารถยังประโยชน์แห่งบุรุษที่เป็นปัจจุบันเป็นต้นให้สำเร็จได้”
“ปริยตฺติ” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) ความสามารถพอ, ความสำเร็จ, ความพอเพียง, ความสามารถ, ความเหมาะเจาะ (adequacy, accomplishment, sufficiency, capability, competency)
(2) พระปริยัติ, ความสามารถทางพระคัมภีร์, การเล่าเรียน (ท่องจำ) คัมภีร์ (accomplishment in the Scriptures, study [learning by heart] of the holy texts);
(3) ตัวพระคัมภีร์นั้นเองทั้งหมดรวมกัน ซึ่งจดจำสืบๆ ต่อกันมา (the Scriptures themselves as a body which is handed down through oral tradition)
“ปริยตฺติ” ในภาษาไทยใช้ว่า “ปริยัติ” (ตัด ต ออกตัวหนึ่ง) อ่านว่า ปะ-ริ-ยัด
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ปริยัติ : (คำนาม) การเล่าเรียนพระไตรปิฎก. (ป. ปริยตฺติ).”
ในที่ใช้คงรูปเดิมเป็น “ปริยัตติ”
คำในชุดนี้มี 3 คำ คือ –
(ปริยัตติ– ปฏิปัตติ– ปฏิเวธ– สะกดตามบาลี)
(1) ปริยัตติธรรม (ปะ-ริ-ยัด-ติ-ทำ) คือคำสั่งสอนอันจะต้องเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์
(2) ปฏิปัตติธรรม (ปะ-ติ-ปัด-ติ-ทำ) คือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ ได้แก่ อัฏฐังคิกมรรค หรือ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
(3) ปฏิเวธธรรม (ปะ-ติ-เว-ทะ-ทำ) คือผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน
มักพูดกันสั้นๆ ว่า ปริยัติ (ปะ-ริ-ยัด) ปฏิบัติ (ปะ-ติ-บัด) ปฏิเวธ (ปะ-ติ-เวด)
(๒) “อันตรธาน”
เขียนแบบบาลีเป็น “อนฺตรธาน” อ่านว่า อัน-ตะ-ระ-ทา-นะ ประกอบด้วย อนฺตร + ธาน
(ก) “อนฺตร” บาลีอ่านว่า อัน-ตะ-ระ รากศัพท์มาจาก อติ (ธาตุ = ผูก) + อร ปัจจัย, ลบสระที่สุดธาตุ (อติ > อต), ลงนิคหิตอาคมต้นธาตุแล้วแปลงเป็น น (อติ > อํติ > อนฺติ)
: อติ > อํติ > อนฺติ > อนฺต + อร = อนฺตร แปลตามศัพท์ว่า “จุดที่ผูกสองข้างไว้” คือ มีข้างหนึ่ง แล้วก็มีอีกข้างหนึ่ง จากข้างหนึ่งไปถึงอีกข้างหนึ่งนี้แหละมีสิ่งหนึ่งผูกเอาไว้ สิ่งนั้นเรียกว่า “อนฺตร” = ระหว่างสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง หมายถึง ภายใน, ระหว่าง, ช่องวางระหว่าง (inside, in between, a space between)
(ข) “ธาน” บาลีอ่านว่า ทา-นะ รากศัพท์มาจาก ธา (ธาตุ = ทรงไว้, ปิดกั้น) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)
: ธา + ยุ > อน = ธาน แปลตามศัพท์ว่า “การทรงไว้” “การปิดกั้น”หมายถึง ทรงไว้, ถือไว้, บรรจุไว้ (holding, containing) ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง ภาชนะที่รองรับ, กระปุก (a receptacle)
อนฺตร + ธาน = อนฺตรธาน แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ทรงอยู่ในระหว่าง” (คือเข้ามาปิดกั้นไว้ทำให้มองไม่เห็น) หมายถึง การหาย หรือสูญหายไป (disappearance)
“อนฺตรธาน” ในภาษาไทยเขียน “อันตรธาน”
โปรดสังเกตและระวัง “-ธาน” น หนู สะกด ไม่ใช่ “-ธาร” ร เรือ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อันตรธาน : (คำกริยา) สูญหายไป, ลับไป. (ป., ส.).”
ปริยตฺติ + อนฺตรธาน = ปริยตฺติอนฺตรธาน บาลีอ่านว่า ปะ-ริ-ยัด-ติ-อัน-ตะ-ระ-ทา-นะ แปลว่า “การสูญหายไปแห่งการเล่าเรียนธรรม” หมายถึง ไม่มีผู้ใดมีฉันทะอุตสาหะที่จะศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์คือพระธรรมวินัยอันเป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาอีกต่อไป
“ปริยตฺติอนฺตรธาน” เขียนแบบไทยเป็น “ปริยัตติอันตรธาน” อ่านว่า ปะ-ริ-ยัด-ติ-อัน-ตะ-ระ-ทาน
ขยายความ :
ท่านว่า พระพุทธศาสนาของเรานี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไปก็จะเกิดอันตรธาน คือเสื่อมสูญไปตามลำดับ กล่าวคือ (1) อธิคมอันตรธาน (2) ปฏิปัตติอันตรธาน (3) ปริยัตติอันตรธาน (4) ลิงคอันตรธาน (5) ธาตุอันตรธาน
“ปริยัตติอันตรธาน” หรือ “การสูญหายไปแห่งการเล่าเรียนธรรม” คัมภีร์อรรถกถาบรรยายไว้ดังนี้ –
…………..
ปริยตฺตีติ เตปิฏเก พุทฺธวจเน สาฏฺฐกถา ปาลิ ฯ
คำว่า ปริยตฺติ ได้แก่ บาลีพร้อมทั้งอรรถกถาในพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก
ยาว สา ติฏฺฐติ ตาว ปริยตฺติ ปริปุณฺณา นาม โหติ ฯ
บาลีนั้นยังคงอยู่เพียงใด ปริยัติก็ชื่อว่ายังบริบูรณ์อยู่เพียงนั้น
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล กลิยุเค ราชยุวราชาโน อธมฺมิกา โหนฺติ
เมื่อกาลล่วงไปๆ ผู้บริหารบ้านเมืองน้อยใหญ่ในกุลียุคไม่ตั้งอยู่ในธรรม
เตสุ อธมฺมิเกสุ ราชามจฺจาทโย อธมฺมิกา โหนฺติ
เมื่อผู้บริหารบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ข้าราชการน้อยใหญ่ก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
ตโต รฏฺฐชนปทวาสิโนติ ฯ
แต่นั้น ชาวแคว้นและชาวชนบทก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
เอเตสํ อธมฺมิกตาย เทโว น สมฺมา วสฺสติ
ฝนย่อมไม่ตกต้องตามฤดูกาลเพราะคนเหล่านั้นไม่ตั้งอยู่ในธรรม
ตโต สสฺสานิ น สมฺปชฺชนฺติ ฯ
เพราะเหตุนั้น ข้าวกล้าก็ไม่บริบูรณ์
เตสุ อสมฺปชฺชนฺเตสุ ปจฺจยทายกา ภิกฺขุสํฆสฺส ปจฺจเย ทาตุํ น สกฺโกนฺติ
เมื่อข้าวกล้าไม่บริบูรณ์ ทายกผู้ถวายปัจจัยก็ไม่สามารถจะถวายปัจจัยแก่ภิกษุสงฆ์ได้
ภิกฺขู ปจฺจเยหิ กิลมนฺตา อนฺเตวาสิเก สงฺคเหตุํ น สกฺโกนฺติ ฯ
ภิกษุทั้งหลายขัดสนด้วยปัจจัย ก็ไม่สามารถสงเคราะห์พวกศิษย์ทั้งหลายได้
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล ปริยตฺติ ปริหายติ
เมื่อเวลาล่วงไปๆ ปริยัตติธรรมก็ค่อยเสื่อมลง
อตฺถวเสน ธาเรตุํ น สกฺโกนฺติ ปาลิวเสเนว ธาเรนฺติ ฯ
ภิกษุทั้งหลายไม่สามารถทรงจำอรรถกถาไว้ได้ ก็จะทรงจำไว้แต่พระบาลีเท่านั้น
ตโต กาเล คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต ปาลึ สกลํ ธาเรตุํ น สกฺโกนฺติ
แต่นั้น เมื่อกาลล่วงไปๆ ก็ไม่สามารถจะทรงจำบาลีไว้ได้ทั้งหมด
ปฐมํ อภิธมฺมปิฏกํ ปริหายติ ฯ
อภิธรรมปิฎกย่อมเสื่อมก่อน
ปริหายมานํ มตฺถกโต ปฏฺฐาย ปริหายติ ฯ
เมื่อเสื่อม ก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายขึ้นมา
ปฐมเมว หิ ปฏฺฐานมหาปกรณํ ปริหายติ
จริงอยู่ ปัฏฐานมหาปกรณ์ย่อมเสื่อมก่อนทีเดียว
ตสฺมึ ปริหีเน ยมกํ กถาวตฺถุ ปุคฺคลปญฺญตฺติ ธาตุกถา วิภงฺโค ธมฺมสงฺคณีติ ฯ
เมื่อปัฏฐานมหาปกรณ์เสื่อม ยมก กถาวัตถุ ปุคคลบัญญัติ ธาตุกถา ธัมมสังคณีก็เสื่อม
เอวํ อภิธมฺมปิฏเก ปริหีเน มตฺถกโต ปฏฺฐาย สุตฺตนฺตปิฏกํ ปริหายติ ฯ
เมื่ออภิธรรมปิฎกเสื่อมไปอย่างนี้ สุตตันตปิฎกก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายขึ้นมา
ปฐมํ หิ องฺคุตฺตรนิกาโย ปริหายติ
จริงอยู่ อังคุตรนิกายย่อมเสื่อมก่อน
ตสฺมึ ปริหีเน ปฐมํ เอกาทสกนิปาโต
เมื่ออังคุตรนิกายเสื่อม เอกาทสกนิบาตย่อมเสื่อมก่อน
ตโต ทสกนิปาโต ฯเป ฯ ตโต เอกกนิปาโตติ
แต่นั้น ทสกนิบาต ฯลฯ แต่นั้น เอกนิบาต
เอวํ องฺคุตฺตเร ปริหีเน มตฺถกโต ปฏฺฐาย สํยุตฺตนิกาโย ปริหายติ ฯ
เมื่ออังคุตรนิกายเสื่อมไปอย่างนี้ สังยุตนิกายก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายขึ้นมา
ปฐมํ หิ มหาวคฺโค ปริหายติ
จริงอยู่ มหาวรรคย่อมเสื่อมก่อน
ตโต สฬายตนวคฺโค ขนฺธกวคฺโค นิทานวคฺโค สคาถวคฺโคติ ฯ
แต่นั้น สฬายตนวรรค ขันธกวรรค นิทานวรรค สคาถวรรค
เอวํ สํยุตฺตนิกาเย ปริหายนฺเต มตฺถกโต ปฏฺฐาย มชฺฌิมนิกาโย ปริหายติ ฯ
เมื่อสังยุตนิกายเสื่อมไปอย่างนี้ มัชฌิมนิกายก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายขึ้นมา
ปฐมํ หิ อุปริปณฺณาสโก ปริหายติ
จริงอยู่ อุปริปัณณาสก์ย่อมเสื่อมก่อน
ตโต มชฺฌิมปณฺณาสโก
แต่นั้น มัชฌิมปัณณาสก์
ตโต มูลปณฺณาสโกติ ฯ
แต่นั้น มูลปัณณาสก์
เอวํ มชฺฌิมนิกาเย ปริหีเน มตฺถกโต ปฏฺฐาย ทีฆนิกาโย ปริหายติ ฯ
เมื่อมัชฌิมนิกายเสื่อมไปอย่างนี้ ทีฆนิกายก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายขึ้นมา
ปฐมํ หิ ปาฏิยวคฺโค ปริหายติ ฯ
จริงอยู่ ปาฏิยวรรคย่อมเสื่อมก่อน
ตโต มหาวคฺโค
แต่นั้น มหาวรรค
ตโต สีลกฺขนฺธกวคฺโคติ ฯ
แต่นั้น สีลขันธวรรค
เอวํ ทีฆนิกาเย ปริหีเน สุตฺตนฺตปิฏกํ ปริหีนํ นาม โหติ ฯ
เมื่อทีฆนิกายเสื่อมไปอย่างนี้ พระสุตตันตปิฎกก็เป็นอันว่าเสื่อม
วินยปิฏเกน สทฺธึ ชาตกเมว ธาเรนฺติ ฯ
ภิกษุทั้งหลายทรงไว้เฉพาะชาดกกับวินัยปิฎกเท่านั้น
วินยปิฏกํ ลชฺชิโนว ธาเรนฺติ
ภิกษุผู้เป็นลัชชีคือละอายชั่วกลัวบาปเท่านั้นทรงพระวินัยปิฎก
ลาภกามา ปน สุตฺตนฺเต กถิเตปิ สลฺลกฺเขนฺตา นตฺถีติ ชาตกเมว ธาเรนฺติ ฯ
ส่วนภิกษุผู้หวังในลาภ คิดว่า แม้เมื่อกล่าวแต่พระสูตรก็ไม่มีผู้จะกำหนดได้ จึงทรงไว้เฉพาะชาดกเท่านั้น
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล ชาตกํปิ ธาเรตุํ น สกฺโกนฺติ ฯ
เมื่อเวลาล่วงไปๆ แม้แต่ชาดกก็ไม่สามารถจะทรงไว้ได้
อถ เนสํ ปฐมํ เวสฺสนฺตรชาตกํ ปริหายติ
ครั้นแล้ว บรรดาชาดกเหล่านั้น เวสสันตรชาดกก็เสื่อมก่อน
ตโต ปฏิโลมกฺกเมน ปุณฺณกชาตกํ มหานารทชาตกํ
แต่นั้น ปุณณกชาดก มหานารทชาดก ก็เสื่อมไปโดยย้อนลำดับ
ปริโยสาเน อปณฺณกชาตกํ ปริหายติ ฯ
จนในที่สุด อปัณณกชาดกก็เสื่อม
เอวํ ชาตเก ปริหีเน วินยปิฏกเมว ธาเรนฺติ ฯ
เมื่อชาดกเสื่อมไปอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายย่อมทรงไว้เฉพาะพระวินัยปิฎกเท่านั้น
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล วินยปิฏกํปิ ธาเรตุํ น สกฺโกนฺติ ฯ
เมื่อกาลล่วงไปๆ ก็ไม่สามารถจะทรงไว้ได้แม้แต่พระวินัยปิฎก
ตโต มตฺถกโต ปฏฺฐาย ปริหายติ ฯ
แต่นั้น ก็เสื่อมตั้งแต่ท้ายขึ้นมา
ปฐมํ หิ ปริวาโร ปริหายติ
จริงอยู่ คัมภีร์บริวารย่อมเสื่อมก่อน
ตโต ขนฺธโก ภิกฺขุนีวิภงฺโค
แต่นั้น ขันธกะ ภิกษุณีวิภังค์ก็เสื่อม
ตโต อนุกฺกเมน อุโปสถกฺขนฺธกมตฺตเมว ธาเรนฺติ ฯ
แต่นั้น ก็ทรงไว้เพียงอุโปสถขันธกะเท่านั้นตามลำดับ
ตทาปิ ปริยตฺติ อนฺตรหิตาว น โหติ ฯ
แม้ในเวลานั้น ปริยัตติธรรมก็ยังไม่อันตรธานก่อน
ยาว ปน มนุสฺเสสุ จตุปฺปทิกา คาถา ปริวตฺติตา
อันว่าคาถา ๔ บาทยังหมุนเวียนอยู่ในหมู่มนุษย์ (คือยังมีผู้ทรงจำไว้ได้) เพียงใด
ตาว ปริยตฺติ อนฺตรหิตาว น โหติ ฯ
ปริยัตติธรรมก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธานเพียงนั้น
ยทา สทฺโธ ปสนฺโน ราชา หตฺถิกฺขนฺเธ สุวณฺณจงฺโกฏกมฺหิ สตสหสฺสถวิกํ ฐปาเปตฺวา พุทฺเธหิ กถิตํ จตุปฺปทิกํ คาถํ ชานนฺตา อิมํ สตสหสฺสํ คณฺหนฺตูติ นคเร เภรึ จาราเปตฺวา
ต่อเมื่อใด ผู้ปกครองบ้านเมืองซึ่งมีศรัทธาเลื่อมใสให้ใส่ถุงทรัพย์หนึ่งแสนลงในผอบทองวางไว้บนคอช้าง แล้วให้ตีกลองร้องประกาศไปทั่วเมืองว่า ใครรู้คาถา ๔ บาทที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จงมารับเอาทรัพย์หนึ่งแสนนี้ไปเถิด
คณฺหนกํ อลภิตฺวา
ก็ไม่มีคนที่จะมารับเอาไป
เอกวารํ จาราปิเตนาปิ สุณนฺตาปิ โหนฺติ อสุณตฺตาย ยาวตติยํ จาราเปตฺวา
เกลือกว่าการให้เที่ยวตีกลองประกาศคราวเดียวจะมีผู้ได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง จึงให้เที่ยวตีกลองประกาศไปถึง 3 ครั้ง
คณฺหนกํ อลภิตฺวา
ก็ยังไม่มีคนที่จะมารับเอาไป
ราชปุริสา ตํ สตสหสฺสถวิกํ ปุน ราชกุลํ ปเวเสนฺติ
เจ้าพนักงานจึงให้ขนถุงทรัพย์หนึ่งแสนนั้นคืนเข้าท้องพระคลังตามเดิม
ตทา ปริยตฺติ อนฺตรหิตา นาม โหตีติ ฯ
เมื่อนั้น ปริยัตติธรรมก็เป็นอันว่าอันตรธาน ด้วยประการฉะนี้
อิทํ ปริยตฺติอนฺตรธานํ นาม.
นี้ชื่อว่า ปริยัตติอันตรธาน
ที่มา: มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย ภาค 1 หน้า 117-120
…………..
ดูก่อนภราดา!
: วันนี้ไม่เรียนพระไตรปิฎกไว้ให้แม่นยำ
: พรุ่งนี้พระปริยัตติธรรมก็อันตรธาน
#บาลีวันละคำ (3,602)
23-4-65
…………………………….
…………………………….