ปฏิปัตติอันตรธาน (บาลีวันละคำ 3,601)
ปฏิปัตติอันตรธาน
อันตรธานที่ 2-ปฏิบัติธรรมสูญ
อ่านว่า ปะ-ติ-ปัด-ติ-อัน-ตะ-ระ-ทาน
“ปฏิปัตติอันตรธาน” เป็น 1 ในอันตรธาน 5 คือ (1) อธิคมอันตรธาน (2) ปฏิปัตติอันตรธาน (3) ปริยัตติอันตรธาน (4) ลิงคอันตรธาน (5) ธาตุอันตรธาน
“ปฏิปัตติอันตรธาน” ประกอบด้วยคำว่า ปฏิปัตติ + อันตรธาน
(๑) “ปฏิปัตติ”
เขียนแบบบาลีเป็น “ปฏิปตฺติ” อ่านว่า ปะ-ติ-ปัด-ติ รากศัพท์มาจาก ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + ปทฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, บรรลุ) + ติ ปัจจัย, แปลงที่สุดธาตุเป็น ตฺ (ปทฺ > ปตฺ)
: ปฏิ + ปทฺ = ปฏิปทฺ + ติ = ปฏิปทฺติ > ปฏิปตฺติ (อิตถีลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ความถึงเฉพาะ” “ที่ไปเฉพาะ” หมายถึง ทาง, วิธี, การปฏิบัติ, วิธีปฏิบัติ, การกระทำ, พฤติการณ์หรือความประพฤติ, ตัวอย่าง (way, method, conduct, practice, performance, behaviour, example)
“ปฏิปตฺติ” ในภาษาไทยใช้ว่า “ปฏิบัติ” (ตัด ต ออกตัวหนึ่ง และแผลง ป ปลา เป็น บ ใบไม้) อ่านว่า ปะ-ติ-บัด
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –
“ปฏิบัติ : (คำกริยา) ดําเนินการไปตามระเบียบแบบแผน เช่น ปฏิบัติราชการ, กระทําเพื่อให้เกิดความชํานาญ เช่น ภาคปฏิบัติ; กระทําตาม เช่น ปฏิบัติตามสัญญา; ประพฤติ เช่น ปฏิบัติสมณธรรม ปฏิบัติต่อกัน; ปรนนิบัติรับใช้ เช่น ปฏิบัติบิดามารดา ปฏิบัติครูบาอาจารย์. (ป. ปฏิปตฺติ).”
ในที่ใช้คงรูปเดิมเป็น “ปฏิปัตติ”
…………..
เพื่อให้เข้าใจคำว่า “ปฏิปตฺติ” กว้างขวางขึ้น ขอนำคำว่า “ปฏิปตฺติธมฺม” (ปะ-ติ-ปัด-ติ-ทำ-มะ) ซึ่งแปลว่า “ธรรมคือการปฏิบัติ” มาอธิบายแทรกเพิ่มไว้ในที่นี้
หลักความเข้าใจในคำว่า “ปฏิปตฺติธมฺม” ก็คือ พระพุทธพจน์คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเมื่อศึกษาเข้าใจดีแล้วต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริง
กล่าวสั้นว่า มิใช่เพียงแค่เรียนเพื่อรู้ แต่ต้องลงมือทำ
ในบาลี คำที่ใช้แทน “ปฏิปตฺติธมฺม” มีอีก 2 คำ คือ –
“ปฏิปตฺติสทฺธมฺม” (ปะ-ติ-ปัด-ติ-สัด-ทำ-มะ) = ธรรมอันดีคือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ
“ปฏิปตฺติสาสน” (ปะ-ติ-ปัด-ติ-สา-สะ-นะ) = ศาสนาคือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ
คำในชุดนี้มี 3 คำ คือ –
(ปริยัตติ– ปฏิปัตติ– ปฏิเวธ– สะกดตามบาลี)
(1) ปริยัตติธรรม (ปะ-ริ-ยัด-ติ-ทำ) คือคำสั่งสอนอันจะต้องเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์
(2) ปฏิปัตติธรรม (ปะ-ติ-ปัด-ติ-ทำ) คือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ ได้แก่ อัฏฐังคิกมรรค หรือ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
(3) ปฏิเวธธรรม (ปะ-ติ-เว-ทะ-ทำ) คือผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน
มักพูดกันสั้นๆ ว่า ปริยัติ (ปะ-ริ-ยัด) ปฏิบัติ (ปะ-ติ-บัด) ปฏิเวธ (ปะ-ติ-เวด)
“ปฏิปตฺติสทฺธมฺม” > “ปฏิปตฺติธมฺม” เขียนแบบไทยเป็น “ปฏิปัตติธรรม” ถ้าตัด ต ออกตัวหนึ่งตามลักนิยมก็จะเป็น “ปฏิปัติธรรม” อ่านว่า ปะ-ติ-ปัด-ติ-ทำ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 มีคำว่า “ปฏิบัติธรรม” อ่านว่า ปะ-ติ-บัด-ทำ บอกความหมายไว้ว่า –
“ปฏิบัติธรรม : (คำกริยา) ประพฤติตามธรรม; เจริญภาวนา.”
“ปฏิบัติธรรม” กับ “ปฏิปัตติธรรม” ถ้าไม่สังเกตอาจเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกัน แต่ความจริงเป็นคนละคำคนละความหมาย
“ปฏิบัติธรรม” เป็นคำประสมแบบไทย “ปฏิบัติ” เป็นกริยา “ธรรม” เป็นกรรม คือสิ่งที่ถูกปฏิบัติ แปลจากหน้าไปหลัง คือ ปฏิบัติ > ธรรม แบบเดียวกับคำว่า “ปฏิบัติราชการ”
ส่วน “ปฏิปัตติธรรม” เป็นคำนาม แปลจากหลังมาหน้า คือแปลว่า ธรรมคือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ หรือแปลสั้นว่า “ธรรมคือการปฏิบัติ”
…………..
(๒) “อันตรธาน”
เขียนแบบบาลีเป็น “อนฺตรธาน” อ่านว่า อัน-ตะ-ระ-ทา-นะ ประกอบด้วย อนฺตร + ธาน
(ก) “อนฺตร” บาลีอ่านว่า อัน-ตะ-ระ รากศัพท์มาจาก อติ (ธาตุ = ผูก) + อร ปัจจัย, ลบสระที่สุดธาตุ (อติ > อต), ลงนิคหิตอาคมต้นธาตุแล้วแปลงเป็น น (อติ > อํติ > อนฺติ)
: อติ > อํติ > อนฺติ > อนฺต + อร = อนฺตร แปลตามศัพท์ว่า “จุดที่ผูกสองข้างไว้” คือ มีข้างหนึ่ง แล้วก็มีอีกข้างหนึ่ง จากข้างหนึ่งไปถึงอีกข้างหนึ่งนี้แหละมีสิ่งหนึ่งผูกเอาไว้ สิ่งนั้นเรียกว่า “อนฺตร” = ระหว่างสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง หมายถึง ภายใน, ระหว่าง, ช่องวางระหว่าง (inside, in between, a space between)
(ข) “ธาน” บาลีอ่านว่า ทา-นะ รากศัพท์มาจาก ธา (ธาตุ = ทรงไว้, ปิดกั้น) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)
: ธา + ยุ > อน = ธาน แปลตามศัพท์ว่า “การทรงไว้” “การปิดกั้น”หมายถึง ทรงไว้, ถือไว้, บรรจุไว้ (holding, containing) ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง ภาชนะที่รองรับ, กระปุก (a receptacle)
อนฺตร + ธาน = อนฺตรธาน แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ทรงอยู่ในระหว่าง” (คือเข้ามาปิดกั้นไว้ทำให้มองไม่เห็น) หมายถึง การหาย หรือสูญหายไป (disappearance)
“อนฺตรธาน” ในภาษาไทยเขียน “อันตรธาน”
โปรดสังเกตและระวัง “-ธาน” น หนู สะกด ไม่ใช่ “-ธาร” ร เรือ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อันตรธาน : (คำกริยา) สูญหายไป, ลับไป. (ป., ส.).”
ปฏิปตฺติ + อนฺตรธาน = ปฏิปตฺติอนฺตรธาน บาลีอ่านว่า ปะ-ติ-ปัด-ติ-อัน-ตะ-ระ-ทา-นะ แปลว่า “การสูญหายไปแห่งการปฏิบัติธรรม” หมายถึง ไม่มีผู้ใดมีฉันทะอุตสาหะที่จะรักษาศีลปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุมรรคผลอีกต่อไป
“ปฏิปตฺติอนฺตรธาน” เขียนแบบไทยเป็น “ปฏิปัตติอันตรธาน” อ่านว่า ปะ-ติ-ปัด-ติ-อัน-ตะ-ระ-ทาน (ระวังอย่าอ่านผิดเป็น ปะ-ติ-บัด-อัน-ตะ-ระ-ทาน, -ปัตติ- ป ปลา ไม่ใช่ -บัติ- บ ใบไม้)
ขยายความ :
ท่านว่า พระพุทธศาสนาของเรานี้ เมื่อกาลเวลาล่วงไปก็จะเกิดอันตรธาน คือเสื่อมสูญไปตามลำดับ กล่าวคือ (1) อธิคมอันตรธาน (2) ปฏิปัตติอันตรธาน (3) ปริยัตติอันตรธาน (4) ลิงคอันตรธาน (5) ธาตุอันตรธาน
“ปฏิปัตติอันตรธาน” หรือ “การสูญหายไปแห่งการปฏิบัติธรรม” คัมภีร์อรรถกถาบรรยายไว้ดังนี้ –
…………..
ปฏิปตฺติอนฺตรธานํ นาม ฌานวิปสฺสนามคฺคผลานิ นิพฺพตฺเตตุํ อสกฺโกนฺตา จาตุปาริสุทฺธิสีลมตฺตํ รกฺขนฺติ ฯ
อันว่าปฏิปัตติอันตรธาน (จักเกิดขึ้นด้วยอาการดังนี้ คืออันดับแรก) ภิกษุไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมให้บรรลุฌาน วิปัสสนา มรรค และผลได้ ก็จะรักษาเพียงจาตุปาริสุทธิศีล
…………………………………..
จาตุปาริสุทธิศีล : ความประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีล มี ๔ อย่าง คือ
๑. ปาติโมกขสังวรศีล ศีลคือความสำรวมในพระปาติโมกข์ เว้นจากข้อห้ามทำตามข้ออนุญาต ประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบททั้งหลาย
๒. อินทรียสังวรศีล ศีลคือความสำรวมอินทรีย์ ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำ เมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๖
๓. อาชีวปาริสุทธิศีล ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ เลี้ยงชีวิตโดยทางสุจริตชอบธรรม เช่น ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีพ
๔. ปัจจยสันนิสิตศีล ศีลอันเนื่องด้วยปัจจัย ๔ ได้แก่ปัจจัยปัจจเวกขณ์ คือพิจารณาใช้สอยปัจจัยสี่ ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ตามความหมายของสิ่งนั้น ไม่บริโภคด้วยตัณหา
-พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต
…………………………………..
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล สีลํ ปริปุณฺณํ กตฺวา รกฺขาม ปธานญฺจ อนุยุญฺชาม น จ มคฺคํ วา ผลํ วา สจฺฉิกาตุํ สกฺโกม นตฺถิ อิทานิ อริยธมฺมปฏิเวโธติ …
เมื่อกาลล่วงไปๆ ภิกษุทั้งหลายคิดว่า ถึงเราจะรักษาศีลให้บริบูรณ์และประกอบความเพียรเนืองๆ แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้แจ้งมรรคผลได้ บัดนี้การรู้แจ้งแทงตลอดอริยธรรมเป็นอันไม่มีแล้ว …
โวสานํ อาปชฺชิตฺวา โกสชฺชพหุลา อญฺญมญฺญํ น โจเทนฺติ น สาเรนฺติ อกุกฺกุจฺจกา โหนฺติ
เมื่อคิดดังนี้ ก็พากันท้อใจ มากไปด้วยความเกียจคร้าน ไม่ทักท้วงตักเตือนกันและกัน (ใครประพฤติบกพร่อง) ก็ไม่รังเกียจกัน
ตโต ปฏฺฐาย ขุทฺทานุขุทฺทกานิ มทฺทนฺติ ฯ
ตั้งแต่นั้นก็พากันย่ำยีสิกขาบทเล็กน้อย
(ดังที่นิยมอ้างกันในเวลานี้ว่า-อาบัติก็แค่ทุกกฎ!!)
คจฺฉนฺเต คจฺฉนฺเต กาเล ปาจิตฺติยถุลฺลจฺจยานิ อาปชฺชนฺติ
เมื่อกาลล่วงไปๆ (ก็ไม่หยุดแค่ทุกกฎ แต่เหยียบย่ำลุกลาม) ไปถึงอาบัติปาจิตตีย์และถุลลัจจัย
ตโต ครุกาปตฺตึ ฯ
ต่อแต่นั้นก็ลามไปถึงครุกาบัติ (คืออาบัติสังฆาทิเสสซึ่งหนักรองลงมาจากปาราชิก)
ปาราชิกมตฺตเมว ติฏฺฐติ ฯ
เพียงอาบัติปาราชิกเท่านั้นที่ยังคงรักษากันไว้ได้
จตฺตาริ ปาราชิกานิ รกฺขนฺตานํ ภิกฺขูนํ สเตปิ สหสฺเสปิ ธรมาเน ปฏิปตฺติ อนฺตรหิตา นาม น โหติ ฯ
ภิกษุผู้รักษาอาบัติปาราชิกไว้ได้ยังทรงชีพอยู่ จะเป็นร้อยรูปหรือพันรูปก็ตาม ปฏิปัตติธรรมชื่อว่ายังไม่อันตรธาน
ปจฺฉิมกสฺส ปน ภิกฺขุโน สีลเภเทน วา ชีวิตกฺขเยน วา อนฺตรหิตา โหตีติ
ต่อเมื่อภิกษุรูปสุดท้ายละเมิดศีลหรือสิ้นชีวิต ปฏิปัตติธรรมก็เป็นอันว่าอันตรธาน ด้วยประการฉะนี้
อิทํ ปฏิปตฺติอนฺตรธานํ นาม.
นี้ชื่อว่า ปฏิปัตติอันตรธาน
ที่มา: มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย ภาค 1 หน้า 117
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เพราะคิดว่า “อาบัติก็แค่ทุกกฏ”
: ในที่สุดก็เลยหมดทั้งสองร้อยยี่สิบเจ็ด
#บาลีวันละคำ (3,601)
22-4-65
…………………………….
……………………………