วันที่รู้สึกสิ้นหวัง
วันที่รู้สึกสิ้นหวัง
—————–
หมายเหตุ:
เรื่องนี้เขียนไว้เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๘
และโพสต์ไปแล้วในวันนั้น – สองปีมาแล้ว
วันนี้ผมนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาบ้านเรา
รู้สึกว่าอะไรๆ มันทำท่าจะสิ้นหวังไปหมด ก็เลยนึกถึงเรื่องนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องสิ้นหวังเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังเกิดอยู่
นำมาเสนอซ้ำ เพื่อช่วยกันปลงธรรมสังเวชครับ
…………….
ปีนี้เข้าพรรษาเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม นับมาจนถึงวันนี้ก็ ๑๒ วันเข้าไปแล้ว
ผมยังไม่ได้ยินเสียงระฆังตอนตีสี่เลยแม้แต่คืนเดียว
ตามวัฒนธรรมประเพณีและจารีตของวัดในเมืองไทย พระภิกษุสามเณรจะชุมนุมไหว้พระสวดมนต์วันละ ๒ เวลา คือเช้าเวลาหนึ่ง เย็นเวลาหนึ่ง และเรียกรู้กันทั่วไปว่า ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น
เช้าเริ่มประมาณสองโมงเช้า ตีระฆังเวลาสองโมงตรง เรียกกันว่า “ระฆังเช้า”
เย็นเริ่มเวลาห้าโมงเย็น ตีระฆังเวลาห้าโมงตรง เรียกกันว่า “ระฆังเย็น”
บางวัดระฆังเย็นจะมี ๒ ครั้ง คือครั้งแรกห้าโมงตรง พระลงโบสถ์หรือขึ้นหอสวดมนต์ เรียกว่า “ระฆังหนึ่ง” เมื่อพระทำวัตรสวดมนต์เสร็จ (ใช้เวลาประมาณชั่วโมงหนึ่ง) จะตีระฆังอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า “ระฆังสอง” เป็นสัญญาณให้รู้ว่าพระท่านทำกิจของสงฆ์เสร็จแล้ว
ชาวบ้านได้ยินเสียงระฆังเช้า-เย็น ก็จะพากันยกมือสาธุทั่วกัน
เวลาชุมนุมทำวัตรเช้า-เย็น อาจไม่ตรงตามนี้ทุกวัด แต่ก็อยู่ในเกณฑ์นี้คือเช้าครั้งหนึ่ง เย็นครั้งหนึ่ง
แต่ในช่วงเวลาเข้าพรรษา วัดต่างๆ จะเพิ่มเวลาทำวัตรสวดมนต์เป็นพิเศษขึ้นอีกเวลาหนึ่งในเวลาตีสี่ โดยตีระฆังในเวลาตีสี่ตรง กว่าจะชุมนุมพร้อมกันก็ตกประมาณตีสี่ครึ่งเริ่มทำวัตรตอนเช้ามืด ทำวัตรสวดมนต์จบก็ต่อด้วยการปฏิบัติจิตภาวนา จน “ได้อรุณ” ก็ออกบิณฑบาต
————
วัดมหาธาตุ ราชบุรีสำนักของผมนั้นท่านตั้งเวรตีระฆังในพรรษา แม้แต่ตัวเจ้าอาวาสก็ถูกจัดเข้าเวรตีระฆังด้วยเพราะถือว่าเป็นกิจสำคัญที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วและถอยขึ้นไป ในพรรษาจะได้ยินเสียงระฆังตอนตีสี่ (ประสมด้วยเสียงสุนัขหอนรับ) ระงมไปทุกวัด
ผมยกมือประนมสาธุบนที่นอนเป็นกิจวัตร
๕ ปีที่แล้วและถอยขึ้นไป เสียงระฆังตอนตีสี่เบาบางลงไป
ปีที่แล้ว ได้ยินอยู่คืนหนึ่งถัดจากวันเข้าพรรษา
ปีนี้เข้าพรรษาเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม นับมาจนถึงวันนี้ก็ ๑๒ วันเข้าไปแล้ว
ผมยังไม่ได้ยินเสียงระฆังตอนตีสี่เลยแม้แต่คืนเดียว
————
เมื่อเช้าเดินออกกำลังเข้าไปไหว้พระในวัดมหาธาตุ หลวงพ่อท่านบอกว่า หมดแล้ว
ทำวัตรสวดมนต์ตอนตีสี่ในพรรษาไม่มีวัดไหนทำกันแล้ว
เหลือแต่ที่วัดมหาธาตุยังรักษามรดกของบูรพาจารย์ไว้อย่างมั่นคง
แต่หมดจากหลวงพ่อ ก็ยังไม่รู้ว่าสมภารรูปต่อไปจะรักษาไว้ได้หรือเปล่า
————
การทำวัตรสวดมนต์เป็นพิเศษในเวลาตีสี่ในช่วงเวลาเข้าพรรษาเป็นบทพิสูจน์ความอุตสาหะพากเพียรในกิจวัตรของชาววัด
เป็นสัญญาณกระตุ้นเตือนชาวบ้านในมีฉันทะวิริยะในบุญกุศล
เป็นการบ่งชี้ถึงบรรยากาศของห้วงเวลา “เข้าพรรษา” ให้รู้เห็นเป็นรูปธรรมว่าเข้มข้นเป็นพิเศษด้วยบุญกิริยา
และเป็นมรดกที่บรรพบุรุษของคณะสงฆ์ไทยได้สร้างสรรค์สืบสานส่งมอบจากรุ่นสู่รุ่นรักษาสืบทอดกันมาช้านาน
จะมาถึงกาลอวสานเสียแล้วในยุคเรานี่กระนั้นฤๅ
เดี๋ยวนี้บรรยากาศช่วงเข้าพรรษาไม่มีอะไรต่างกันกับช่วงเวลานอกพรรษา
เหมือนชาววัดที่กำลังจะไม่มีอะไรต่างกันกับชาวบ้านเสียแล้วกระนั้นฤๅ
————
ในหนังสือ นวโกวาท ที่เราเรียนกันมาตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี ท่านบอกว่า –
……
ตระกูลอันมั่งคั่งจะตั้งอยู่นานไม่ได้เพราะเหตุ ๔ ประการ คือ
๑.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
๒.ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า
๓.ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ
๔.ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลให้เป็นแม่เรือนพ่อเรือน
……
……
การทำวัตรสวดมนต์เวลาตีสี่ช่วงเข้าพรรษาคือ “พัสดุ” อันเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูล
ถ้าปล่อยให้สูญหายไปหรือไม่บูรณะให้คงคืน
พระพุทธศาสนาในบ้านเราก็เห็นจะตั้งอยู่นานไม่ได้เสียแล้วแหละขอรับ
————
ใครช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมครับว่า ในวิถีชีวิตของบรรพชิต การลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์เป็นพิเศษเวลาตีสี่ช่วงเข้าพรรษาที่บรรพบุรุษของเราท่านทำสืบต่อกันมาแสนนาน
ในยุคอันแสนสะดวกสบายนี้มันลำบากยากเย็นอย่างไรหรือจึงทำกันไม่ได้ ?
ถ้ากิจเพียงแค่นี้รักษาไว้ไม่ได้
จะรักษาพระศาสนากันไว้ได้อย่างไร ?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๓ กันยายน ๒๕๖๐
๑๑:๑๕
———-
ตระกูลอันมั่งคั่งจะตั้งอยู่นานไม่ได้เพราะสถาน ๔
๑.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว.
๒.ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า.
๓.ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ.
๔.ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลให้เป็นแม่เรือนพ่อเรือน.
ผู้หวังจะดำรงตระกูล ควรเว้นสถาน ๔ ประการนั้นเสีย.
องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๓๓๖.
…………………………….
…………………………….