มนุสฺสมํส (บาลีวันละคำ 3,647)
มนุสฺสมํส
เนื้อมนุษย์ : เนื้อต้องห้ามชนิดที่ 1
เขียนแบบบาลี อ่านว่า มะ-นุด-สะ-มัง-สะ
แยกศัพท์เป็น มนุสฺส + มํส
(๑) “มนุสฺส”
อ่านว่า มะ-นุด-สะ รากศัพท์มาจาก –
(1) มน (ใจ) + อุสฺส (สูง)
: มน + อุสฺส = มนุสฺส แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีใจสูง”
(2) มนฺ (ธาตุ = รู้) + อุสฺส ปัจจัย
: มน + อุสฺส = มนุสฺส แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์”
(3) มนุ (มนู = มนุษย์คนแรก) + อุสฺส (แทนศัพท์ อปจฺจ = เหล่ากอ หรือ ปุตฺต = ลูก)
: มนุ + อุสฺส = มนุสฺส แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เป็นเหล่ากอของมนู” หรือ “ผู้เป็นลูกของมนู”
คำว่า “มนู” หรือนิยมเรียกว่า “พระมนู” แปลว่า “ผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ของสัตวโลก”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มนู : (คำนาม) ชื่อพระผู้สร้างมนุษยชาติและปกครองโลก มี ๑๔ องค์ เรียงกันเป็นยุค ๆ ไป, ยุคหนึ่งเรียกว่า มนวันดร นานกว่า ๔,๐๐๐,๐๐๐ ปี องค์แรก คือ พระสวายมภูวะ พระมนูองค์นี้ถือกันว่าเป็นผู้ทรงออกกฎหมายหรือธรรมศาสตร์ซึ่งยังมีอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้เรียกว่า มนุสัมหิตา หรือ มนุสมฺฤติ, เพราะฉะนั้น คํา มนู จึงหมายถึงกฎหมายก็ได้ เช่น มนูกิจ. (ส. มนุ).”
บาลี “มนุสฺส” สันสกฤตเป็น “มนุษฺย”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
“มนุษฺย : (คำนาม) มนุษย์, มนุษยชาติ; man, mankind.”
ภาษาไทยเขียนอิงสันสกฤตเป็น “มนุษย์” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มนุษย-, มนุษย์ : (คำนาม) สัตว์ที่รู้จักใช้เหตุผล, สัตว์ที่มีจิตใจสูง, คน. (ส.; ป. มนุสฺส).”
ความหมายของคำว่า “มนุสฺส – มนุษย์” ที่ยอมรับกันมากที่สุดและเป็นความหมายตามตัวอักษรด้วย คือ “ผู้มีใจสูง”
ในที่นี้เขียนตามรูปบาลีตรงตัวเป็น “มนุสฺส”
(๒) “มํส”
อ่านว่า มัง-สะ รากศัพท์มาจาก มนฺ (ธาตุ = รู้) + ส ปัจจัย, แปลง นฺ ที่สุดธาตุเป็นนิคหิต (มนฺ > มํ)
: มนฺ + ส = มนส > มํส (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันคนรู้จัก” หมายถึง เนื้อคน, เนื้อสัตว์ (flesh, meat)
“มํส” ในภาษาไทยใช้เป็น “มังส” และอิงสันสกฤตเป็น “มางสะ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
“มังส-, มังสะ, มางสะ : (คำนาม) เนื้อของคนและสัตว์. (ป.).”
คำที่เราคุ้นกันดีคือ “มังสวิรัติ” (มัง-สะ-วิ-รัด) ก็มาจาก “มํส” คำนี้
มนุสฺส + มํส = มนุสฺสมํส (มะ-นุด-สะ-มัง-สะ) แปลว่า “เนื้อมนุษย์” หรือ “เนื้อคน”
ขยายความ :
“มนุสฺสมํส” เป็น 1 ในเนื้อ 10 ชนิดที่มีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุฉัน คือ –
(1) มนุสฺสมํส เนื้อมนุษย์
(2) หตฺถิมํส เนื้อช้าง
(3) อสฺสมํส เนื้อม้า
(4) สุนขมํส เนื้อสุนัข
(5) อหิมํส เนื้องู
(6) สีหมํส เนื้อสิงโต
(7) พฺยคฺฆมํส เนื้อเสือโคร่ง
(8 ) ทีปิมํส เนื้อเสีอเหลือง
(9) อจฺฉมํส เนื้อหมี
(10) ตรจฺฉมํส เนื้อเสือดาว
…………..
ต้นเรื่องที่ห้ามฉันเนื้อมนุษย์เกิดขึ้นที่เมืองพาราณสี
อุบาสกอุบาสิกาเป็นสามีภรรยากันคู่หนึ่ง มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุอย่างเข้มแข็ง มักจะไปวัดแล้วนมัสการถามพระว่า ขาดเหลืออะไร ต้องการอะไร โยมจะจัดถวาย
วันหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ บอกอุบาสิกาว่า อยากฉันน้ำต้มเนื้อ อุบาสิกาก็รับปากจะจัดมาถวาย กลับบ้านแล้วสั่งคนใช้ให้ไปซื้อเนื้อที่ตลาด แต่ประจวบเป็นวันงดฆ่าสัตว์ ทั้งตลาดไม่มีเนื้อขาย อุบาสิกาคิดว่า ถ้าพระไม่ได้ฉันน้ำต้มเนื้อ อาพาธอาจจะกำเริบ ทั้งตนก็ตกปากรับคำแล้ว จึงตัดสินใจเชือดเนื้อขาอ่อน (อูรุมํส) ของตัวเองให้แม่ครัวเอาไปต้มเอาไปถวายภิกษุรูปนั้น
สามีทราบเรื่องก็อัศจรรย์ในศรัทธาของภรรยา อนุโมทนาเต็มขนาด ด้วยความปลื้มใจในมังสทานของภรรยาจึงนิมนต์พระพุทธเจ้ากับภิกษุสงฆ์ไปฉันที่บ้านในวันรุ่งขึ้น
เมื่ออุบาสิกามาถวายอภิวาทพระพุทธเจ้า แผลที่ขาอ่อนก็หายสนิทเหมือนเดิม เป็นที่น่าอัศจรรย์
เนื่องมาจากเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ มีพุทธดำรัสดังนี้ –
…………..
สนฺติ ภิกฺขเว มนุสฺสา สทฺธา ปสนฺนา เตหิ อตฺตโนปิ มํสานิ ปริจฺจตฺตานิ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้
น ภิกฺขเว มนุสฺสมํสํ ปริภุญฺชิตพฺพํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์
โย ปริภุญฺเชยฺย อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส ฯ
รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
น จ ภิกฺขเว อปฺปฏิเวกฺขิตฺวา มํสํ ปริภุญฺชิตพฺพํ
อนึ่ง ภิกษุยังมิได้พิจารณาไม่พึงฉันเนื้อ
โย ปริภุญฺเชยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ ฯ
รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกฏ
ที่มา: เภสัชขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 59
…………..
คัมภีร์อรรถกถาขยายความว่า –
มนุสฺสมํสํ สชาติกตาย ปฏิกฺขิตฺตํ.
เนื้อมนุษย์ พระผู้มีพระภาคทรงห้ามก็เพราะเป็นชาติมนุษย์ด้วยกัน
ที่มา: สมันตปาสาทิกา ภาค 3 หน้า 193
…………..
ดูก่อนภราดา!
: มนุษย์ที่กินเนื้อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน น่ารังเกียจ
: แต่มนุษย์ที่เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน น่าสะอิดสะเอียน
#บาลีวันละคำ (3,647)
7-6-65
…………………………….
…………………………….