โปรดถามใจตัวเอง
โปรดถามใจตัวเอง
——————–
เคยได้ยินชื่อ “สุภาษิตอิศรญาณ” หรือไม่?
“สุภาษิตอิศรญาณ” คืออะไร
โปรดอ่านคำอธิบายต่อไปนี้
………………….
คำอธิบาย
เรื่องสุภาษิตอิศรญาณ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เพลงยาวเจ้าอิศรญาณ” เป็นผลงานพระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณ ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ ซึ่งทรงนิพนธ์แต่ครั้งยังทรงผนวชอยู่วัดบวรนิเวศ ได้พระนามฉายาว่า อิสสรญาโณ มีเรื่องเล่ากันมาว่า เจ้าอิศรญาณนั้นจริตไม่สู้ปรกติ ด้วยเหตุที่ครั้งหนึ่งกระทำการขัดพระราชอัธยาศัย จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสประภาษว่าบ้า และดูเหมือนผู้อื่นจะแสดงอาการเห็นตามด้วย เจ้าอิศรญาณน้อยใจจึงแต่งเพลงยาวฉบับนี้ จากข้อความที่คมคายมีชั้นเชิงอย่างสุภาษิตสอนใจ เป็นข้อพิสูจน์ว่ามิได้เสียจริต และอาจเป็นเพราะทรงพระนิพนธ์ด้วยความน้อยเนื้อตํ่าใจ จึงมีถ้อยคำที่มีความหมายแอบแฝงอยู่ในบทเพลงยาวนั้นด้วย ผลงานของท่านจึงได้รับความนิยมกันแพร่หลาย เช่นที่ว่า “ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า นํ้าพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ”
ที่มา: ห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ
………………….
สุภาษิตอิศรญาณนี้มีหลายตอนหลายท่อนหลายข้อหลายบท มีผู้นิยมยกข้อนั้นข้อนี้ไปอ้าง คือเอาไปพูดต่อๆ กันไปอย่างแพร่หลาย
แต่ถ้าใครอ่านอย่างพินิจก็จะสังเกตเห็นว่า ถ้อยคำสำนวนที่ยกไปอ้างนั้นมักจะผิดเพี้ยนจากต้นฉบับ
ยกตัวอย่างเช่น ต้นฉบับว่า
………………….
อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก
ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว
………………….
เอาไปพูดกันว่า –
………………….
เสาศิลาแปดศอกตอกเป็นหลัก
เอามือผลักบ่อยเข้าเสายังไหว
………………….
และที่กลายเป็นสำนวนไปแล้วก็มี เช่น
ต้นฉบับว่า —
เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด
เอาไปพูดกันว่า —
เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด
ผิดเพี้ยนกันแค่คำสองคำ เป็นเรื่องใหญ่โตเชียวหรือ?
อันนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์มาตรฐานว่าแค่ไหนอย่างไรเรียกว่าใหญ่โตหรือไม่ใหญ่โต
แต่หลักการก็คือ ต้นฉบับว่าอย่างไร ควรจะต้องว่าไปตามต้นฉบับ
หรือตั้งเป็นคำถามว่า-
ก็แล้วจะพูดให้มันผิดเพี้ยนจากต้นฉบับไปทำไมกันเล่า
พูดให้ตรงตามต้นฉบับไม่ได้หรือ
ต้นฉบับไม่ดีกระนั้นหรือจึงต้องแก้ไขให้ผิดเพี้ยนไปเช่นนั้น
แต่อันที่จริงเราอาจเดาสาเหตุอันเป็นความจริงได้ไม่ยาก นั่นก็คือ
๑ เพราะความไม่ระมัดระวัง ไม่รอบคอบ หรือมักง่าย หรือชุ่ยนั่นเอง
อ่านต้นฉบับแล้ว เอาไปอ้างให้ตรงตามนั้น
ทำไมจะทำไม่ได้
๒ เพราะไม่มีอุตสาหะที่จะศึกษาตรวจสอบเทียบทานไปให้ถึงต้นฉบับ ซึ่งก็สรุปลงในคำว่า ขี้เกียจ หรือชุ่ยอีกนั่นเอง
ถ้าไม่มั่นใจว่าจะตรงตามต้นฉบับหรือไม่ ก็อย่าเอาไปอ้างต่อ อย่าเอาไปพูดต่อ ถ้าอยากจะเอาไปพูดต่อหรือจำเป็นจะต้องเอาไปอ้างต่อ ก็ลงทุนศึกษาตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อน
แบบนี้ทำไมจะทำไม่ได้
สังเกตเห็นว่า เวลานี้คนเป็นโรคขี้เกียจ มักง่าย และชุ่ยกันมากขึ้น
………………….
อ่าน “สุภาษิตอิศรญาณ” ฉบับที่ถูกต้องตรงตามต้นฉบับได้ที่ –
………………….
การไม่ศึกษาตรวจสอบไปให้ถึงต้นเดิมนี้ เวลานี้แม้ในวงการพระศาสนาก็มีมากขึ้น
ยกข้อธรรมนั่นนี่โน่นขึ้นมาอ้าง ผิดบ้าง คลาดเคลื่อนบ้าง อ้างแล้วอ้างเลย ปล่อยตามเลย ผิดถูกไม่เหลียวกลับมาดู
ยังไม่รวมประเภท-อ้างหลักธรรม แต่ใส่ชื่อครูบาอาจารย์ ไม่ใส่ชื่อพระพุทธเจ้า
แต่เอาเถอะ ครูบาอาจารย์ใคร ใครก็นับถือ อยากเชิดชูคำพูดของท่าน อันนี้ไม่ว่ากัน
เพียงแต่ขอให้ระลึกถึงหลักความจริงว่า พระพุทธศาสนาคือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ครูบาอาจารย์ไม่ได้ตรัสรู้ขึ้นมาเอง ท่านก็ไปเอามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เราจึงควรมีอุตสาหะช่วยกันศึกษาสอบสวนไปให้ถึงต้นเดิมว่า ที่ครูบาอาจารย์สอนอย่างนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร ตรงกันหรือต่างกัน
ทุกวันนี้จบแค่ครูบาอาจารย์ของใครของมัน ไปไม่ถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาในบ้านเราจึงขาดเอกภาพ
อุปมาเหมือน-พอใจอยู่ที่ …
เสาศิลาแปดศอกตอกเป็นหลัก
เอามือผลักบ่อยเข้าเสายังไหว
….
ต้นฉบับเดิมจะว่าอย่างไรก็ว่าไปเถิด ไม่สน ฉันพอใจแค่นี้
ฝ่ายท่านที่พอใจทางประนีประนอมก็จะออกมาบอกว่า จะเป็น “เสาศิลาแปดศอก” หรือ “เสาหินแปดศอก” มันก็ความหมายเดียวกันนั่นแหละ ต่างกันแต่ถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ จะมาเคร่งครัดอะไรกันนักหนา
ฟังแล้วคิดอย่างไร?
คงมีคนเห็นด้วยเยอะ เออนะ จริงด้วย จะมาเคร่งครัดอะไรกันนักหนา
ถ้าวิธีการให้เหตุผลแบบนี้ถูกต้อง ต้นฉบับ “อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก” ก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่จำเป็นต้องรักษาไว้ ปล่อยให้สูญไปเสียก็ได้ มีไว้ก็เกะกะ
นานไป นานไป …
“เสาศิลาแปดศอกตอกเป็นหลัก”
อาจกลายเป็น “เถาเพกาแปดดอกออกเป็นฝัก”
ถึงตอนนั้น เราจะทิ้ง “เสาศิลาแปดศอกตอกเป็นหลัก” เสียอีกก็ยังได้ เหมือนกับที่เคยทิ้ง “อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก” นั่นเอง
ถ้าเราใช้หลักการแบบเดียวกันนี้กับคำสอนในพระพุทธศาสนา ต่อไปในอนาคตพระพุทธศาสนาจะเหลืออะไร?
เวลานี้มีแนวคิดเย้ยหยันพระพุทธศาสนาเถรวาทว่าเป็น “พระพุทธศาสนาแช่แข็ง” ในความหมายที่ว่า-ไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักคำสอน จึงไม่ทันสมัย ไม่ทันโลก
ฟังแล้วคิดอย่างไร?
ร่องรอยของแนวคิดนี้มีมาตั้งแต่ปลายสมัยพุทธกาล
โปรดศึกษาคัมภีร์จุลวรรค ภาค ๒ พระวินัยปิฎก ตอนปัญจสติกขันธกะ พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๖๒๐ – มีข้อความดังนี้:-
…………………
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ชี้แจงต่อพระเถระทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่ จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้
พระเถระทั้งหลายถามว่า ท่านอานนท์ ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคหรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหนเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
ท่านพระอานนท์ตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบทเหล่าไหนเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๑) พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๒) พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๓) พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๔) พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๕) พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๖) พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฏิเทสนียะ ๔ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
…………………
ถ้าพระสงฆ์ในครั้งนั้นใช้นโยบายปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระธรรมวินัยให้ทันสมัยเหมือนกับทัศนะของบางกลุ่มบางสำนักในสมัยนี้ พระพุทธศาสนาจะแตกกันอย่างน้อยก็ ๖ นิกายมาตั้งแต่ พ.ศ.๓ เดือน
แต่พระอรหันตเถระที่ประชุมทำสังคายนามีมติ “ไม่ขอใช้สิทธิ์ตามที่มีพุทธานุญาต” และลงมติว่า –
๑ ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้
๒ ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
๓ สมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
ซึ่งมตินี้สอดคล้องกับหลัก “ภิกขุอปริหานิยธรรม” ข้อ ๓ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า –
…………………
ยาวกีวญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขู อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปสฺสนฺติ ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทิสฺสนฺติ ยถาปญฺญตฺเตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติ วุฑฺฒิเยว ภิกฺขเว ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา โน ปริหานิ.
ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกฺขู อปญฺญตฺตํ น ปญฺญเปสฺสนฺติ
ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
ปญฺญตฺตํ น สมุจฺฉินฺทิสฺสนฺติ
จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
ยถาปญฺญตฺเตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วตฺติสฺสนฺติ
จักสมาทานประพฤติอยู่ในสิกขาบทั้งหลายตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
ยาวกีวญฺจ
ตลอดกาลเพียงไร
ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
วุฑฺฒิเยว ภิกฺขูนํ ปาฏิกงฺขา
ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
โน ปริหานิ.
หาความเสื่อมมิได้ (ตลอดกาลเพียงนั้น)
ที่มา: มหาปรินิพพานสูตร
ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๗๐
…………………
สิ่งที่น่ากังวลและน่ากลัวในสมัยนี้ก็คือ ผู้ที่เข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนาไม่ได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ หากแต่ใช้ความคิดความเชื่อความเข้าใจของตนเองนำหน้า คือเชื่อไป ประพฤติไป ทำไปตามที่ตนเองเข้าใจว่าถูกว่าดี พระธรรมวินัยบัญญัติแสดงไว้อย่างไรไม่รับรู้
พอดีกันกับทฤษฎีที่เริ่มจะมีผู้ชูขึ้นมาว่า-พระไตรปิฎกเป็นเอกสารโบราณ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีใครแทรกเสริมเติมแต่งลงไปตรงไหนบ้างก็พิสูจน์ไม่ได้
ผสมไปกับการขาดวิริยะอุตสาหะที่จะศึกษาสืบค้นอันเป็นสิ่งที่นอนเนื่องเป็นทุนอยู่ในนิสัย
เหล่านี้ ประมวลกันเข้าเป็นผลให้เกิดการประพฤติปฏิบัติวิปริตผิดแปลกในรูปแบบต่างๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นในนาม “พระพุทธศาสนา” เสนอแก่ตาของสังคม
…………….
ถ้าไม่ยึดหลักเดิมไว้ให้ถูกต้องมั่นคง จะเกิดอะไรขึ้น ขอชวนให้ดูตัวอย่างดังจะกล่าวต่อไปนี้
เวลานี้พระที่เลี้ยงแม่ อุ้มแม่ กอดแม่ สังคมส่วนหนึ่งชื่นชมยินดียกย่องสรรเสริญว่าเป็นพระที่ประเสริฐ
พระธรรมวินัยบัญญัติไว้อย่างไร ไม่รับรู้ ถือเอาความเห็นของสังคมเป็นประมาณ (ดีไม่ดีโต้แย้งหลักพระธรรมวินัยเสียด้วย เช่น อาบัติก็แค่เล็กน้อย!)
ทีนี้ดูต่อไป ต่างว่าพระภิกษุทุกวันนี้ มีเมีย มีลูก มีครอบครัว เปิดเผยออกหน้าออกตา
เราท่านที่เป็นพวกหัวก้าวหน้าต้องการให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระธรรมวินัยให้ทันสมัย จะยอมรับไหมว่า-แบบนั้นท่านก็ยังเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา?
โดยเฉพาะ-บรรดาท่านที่รังเกียจพระพุทธศาสนาแบบแช่แข็งนั่นแหละ ลองตอบด้วยจิตสำนึกในปัจจุบันวันนี้ว่า ท่านจะยอมรับหรือไม่ว่า-แบบนั้นก็ยังเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่
แน่นอน หิริโอตตัปปะและสติปัญญาที่ยังมีอยู่ในสันดานของเรา ณ วันนี้ จะบอกให้รู้ว่า-แบบนั้นไม่ใช่พระแล้ว
แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า-ในอนาคตกาลไม่นานไกล สังคมสมัยโน้นเขายอมรับว่า-แบบนั้นก็ถือว่าท่านยังเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่
และภิกษุชนิดนั้นย่อมดำรงอยู่ได้ด้วยเหตุผลข้อสำคัญ คือ – ก็สังคมเขายอมรับอาตมา!
ไม่ใช่พูดเอาเอง – โปรดศึกษาเรื่อง “อันตรธาน” ที่ท่านบันทึกไว้ในคัมภีร์
เหมือนกับบางเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ ที่มีพระภิกษุทำแบบนั้นแบบนี้ คนส่วนหนึ่งบอกว่าขัดหูขัดตา แต่คนอีกส่วนหนึ่งชื่นชมยินดี เป็นเหตุให้ท่านพูดได้เต็มปากว่า-ก็สังคมเขายอมรับนี่
เป็นภาพจำลองแบบเดียวกันไม่ผิด
ถ้าไม่ถือพระธรรมวินัยเป็นหลัก และถ้ายังคิดจะปรับปรุงแก้ไขพระธรรมวินัยให้ทันสมัย ภาพทำนองนี้จะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ
…………….
ในที่สุดนี้ ผมก็ยังคงพูดคำเดิม-ขอร้องขอแรงให้เราท่านทั้งหลายมีอุตสาหะศึกษาค้นคว้าหลักพระธรรมวินัยที่ถูกต้องและตั้งเป้าหมายให้ถูกทาง
…………….
ศึกษาค้นคว้าหลักพระธรรมวินัยเพื่อความรู้ความเข้าใจ
แล้วอัญเชิญไปปฏิบัติฝึกหัดขัดเกลาตน
แล้วเผยแผ่สู่ประชาชนให้เขาเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป
เพื่อเอาความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมาประพฤติปฏิบัติต่อไปอีก
…………….
ถ้าวงจรนี้ยังดำเนินไปอยู่ตราบใด พระพุทธศาสนาก็จะยังดำรงอยู่เพื่อชี้ทางที่ถูกต้องแก่ชาวโลกอยู่ตราบนั้น
……………….
จะเอา “เถาเพกาแปดดอกออกเป็นฝัก” หรือว่าจะว่ายทวนน้ำกลับไปหารากเหง้าเดิม “อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก” …
ผมตอบแทนท่านไม่ได้
โปรดถามใจตัวเอง
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๔ กันยายน ๒๕๖๓
๑๖:๕๔
…………………………….
…………………………….