บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

เราจะผ่านมันไปด้วยกัน

เราจะผ่านมันไปด้วยกัน

————————

ผมมีปัญหาธรรมที่ใคร่ขอแรงญาติมิตร-โดยเฉพาะญาติมิตรที่เป็นพระภิกษุสามเณร-ช่วยหาคำตอบ 

ปีญหามีดังนี้ครับ 

………………….

๑ นายดำให้เงินนายแดง ๑๐๐ บาท นายแดงรับไว้เรียบร้อย

ตามหลักธรรม นายดำได้บำเพ็ญบุญทานมัยเรียบร้อยแล้ว โดยการสละเงิน ๑๐๐ บาท

๒ นายแดงเอาเงินที่นายดำให้จำนวน ๑๐๐ บาทนั้น (ซึ่ง ณ ขณะนี้เป็นเงินของนายแดง) ให้นายดำ นายดำรับไว้เรียบร้อย

ตามหลักธรรม นายแดงได้บำเพ็ญบุญทานมัยเรียบร้อยแล้ว โดยการสละเงิน ๑๐๐ บาท

๓ นายดำเอาเงินที่นายแดงให้จำนวน ๑๐๐ บาทนั้น (ซึ่ง ณ ขณะนี้กลับมาเป็นเงินของนายดำ) ให้นายแดงเป็นครั้งที่ ๒ นายแดงรับไว้เรียบร้อย

ตามหลักธรรม นายดำได้บำเพ็ญบุญทานมัยเป็นครั้งที่ ๒ เรียบร้อยแล้ว โดยการสละเงิน ๑๐๐ บาท นับรวมกับครั้งแรก ขณะนี้นายดำสละเงินไปแล้ว ๒๐๐ บาท 

๔ นายแดงเอาเงินที่นายดำให้จำนวน ๑๐๐ บาทนั้น (ซึ่ง ณ ขณะนี้เป็นเงินของนายแดง) ให้นายดำเป็นครั้งที่ ๒ นายดำรับไว้เรียบร้อย

ตามหลักธรรม นายแดงได้บำเพ็ญบุญทานมัยเป็นครั้งที่ ๒ เรียบร้อยแล้ว โดยการสละเงิน ๑๐๐ บาท นับรวมกับครั้งแรก ขณะนี้นายแดงสละเงินไปแล้ว ๒๐๐ บาทเช่นเดียวกัน 

ข้อมูล: ก่อนให้ ทั้งนายดำและนายแดงได้ตั้งเจตนาทุกครั้งว่า เงินที่ให้นี้เป็นเงินของตนเพราะตนรับเอามาเป็นของตนแล้ว ดังนั้น การให้กันไปให้กันมาตามเรื่องนี้จึงเป็น “การให้” จริงๆ ไม่ใช่ “การคืน” 

………………….

ถามว่า ตามเรื่องนี้ นายดำและนายแดงจะได้บุญทวีขึ้นไปเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่ให้ ใช่หรือไม่ 

ตามเรื่องนี้ นายดำและนายแดงจะได้บุญทานมัยเท่ากับได้สละเงินเป็นพันเป็นหมื่น (เงิน ๑๐๐ บาท คูณด้วยจำนวนครั้งที่ให้) ทั้งๆ ที่ตัวเงินจริงๆ ที่ใช้ไปเพื่อการนี้มีเพียง ๑๐๐ บาทเท่านั้น ใช่หรือไม่

ขอความกรุณางดคำตอบประเภท –

…ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า… 

…มันน่าจะ…

…นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะ…

ความเห็นส่วนตัวเอาไว้ทีหลังนะครับ 

ขอให้ใช้ความพยายามในการค้นคว้าหาหลักฐานจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ตลอดจนมติของบูรพาจารย์ ให้ทั่วถ้วนก่อน ว่าท่านแสดงเรื่องนี้ หรือเรื่องทำนองนี้ หรือหลักฐานหลักธรรมที่อาจตีความให้เข้ากับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้างหรือไม่ 

ค้นให้แหลกก่อน

พบอะไรอย่างไร เอามาบอกกัน

หรือไม่พบอะไรอย่างไร ก็บอกมา

ต่อจากนั้นจึงค่อยแสดงความเห็นของเรา 

เวลานี้ข้อบกพร่องของพวกเราที่พบมาก คือ

๑ เริ่มต้นด้วยการแสดงความเห็นทันที

แต่ไม่แสวงหาความรู้ตามหลักฐาน

๒ บอกว่า-หรือคิดว่า-เรื่องแบบนี้ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะต้องตอบ หรือที่จะต้องหาความรู้มาตอบ 

ขอประทานโทษ-เวลานี้แม้แต่พระภิกษุสามเณรเองก็คิดแบบนี้-ไม่ใช่หน้าที่ 

ผมจึงดักคอไว้ข้างต้นโน้นว่า-โดยเฉพาะญาติมิตรที่เป็นพระภิกษุสามเณร

ถ้าพระภิกษุสามเณรคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ ก็แล้วใครเล่าจะมีหน้าที่? 

การศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัยเป็นหน้าที่โดยตรงของพระภิกษุสามเณร

ความจริง การศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัยเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททั้งปวง-ซึ่งรวมทั้งชาวบ้านด้วย 

แต่สำหรับพระภิกษุสามเณรแล้วเป็นหน้าที่โดยตรง ปฏิเสธไม่ได้

บางทีเวลานี้เราอาจจะหลงทาง คิดไปว่า-ถึงไม่ศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัยก็ไม่เป็นไร ขอให้เรียนวิชาที่จะรู้ทันโลก อยู่กับโลกได้ก็พอแล้ว 

แล้วเลยพาให้เข้าใจไปว่า-เรียนเรื่องอื่น ทำเรื่องอื่นสำคัญกว่าการศึกษาค้นคว้าพระธรรมวินัย 

ถอยกลับมาตั้งหลักกันนะครับ 

รู้ทันโลก อยู่กับโลกได้ก็ดี ไม่ใช่ไม่ดี 

แต่รู้หลักพระธรรมวินัยด้วย ดีกว่า

——————

ปัญหาข้างต้นนั้นผมเองก็ยังไม่รู้คำตอบ ไม่ใช่แกล้งถามลองภูมิ 

ผมนึกสงสัยขึ้นมาเอง ตัวผมเองนะต้องค้นอยู่แล้ว แต่มานึกดูว่า พระภิกษุสามเณรที่เป็น “เพื่อน” ทางเฟซบุ๊กก็มีอยู่เป็นอันมาก ญาติมิตรทั่วไปที่รู้บาลีก็มีอยู่มิใช่น้อย 

บอกกล่าวขอแรงกันให้ช่วยกันค้นคว้าน่าจะดีกว่า หลายตาดีกว่าสองตา เท่ากับเป็นการชักชวนกันทำกุศลด้วย 

นอกจากเรื่องที่ถามนี้แล้วยังมีอีกหลายเรื่องครับที่น่ารู้ ควรรู้ และต้องรู้ 

ช่วยกันค้น ช่วยกันคว้า เป็นการสืบอายุพระศาสนาไปพร้อมๆ กัน 

ผมว่า-สงสัยอะไรถามกัน บอกกัน ช่วยกัน ดีกว่าอัดอั้นงมหาอยู่คนเดียว 

พูดให้ทันสมัยก็ว่า-นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะผ่านมันไปด้วยกัน

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

๑๗:๕๘

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *