สตรีกับดอกไม้
สตรีกับดอกไม้ (๕)
สตรีกับดอกไม้ (๕)
—————————–
และคิดต่อไปถึงศีลกับธรรม
………………….
ถือศีล-หมดสวย?
………………….
ก่อนจะชวนให้คิดต่อไป เรื่องที่ควรจะทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน จะได้ไม่ต้องมาถกเถียงขัดใจกันทีหลัง ก็คือ ความหมายหรือกรอบขอบเขตของคำว่า “แต่งตัว”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกว่า –
…………………..
แต่งตัว ก็คือ สวมเสื้อผ้าหรือประดับประดาร่างกาย
…………………..
ผมคิดว่าเกณฑ์อันหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องวินิจฉัยความหมาย หรือความมุ่งหมาย หรือเจตนาของการแต่งตัวได้อย่างชัดเจนดีที่สุดก็คือ ศีลแปด โดยเฉพาะศีลข้อที่ ๗ ซึ่งมีข้อความว่า
…………………..
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี
…………………..
แปลเอาความว่า –
…………………..
เจตนางดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล ทัดทรง ประดับ ตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา เครื่องผัดผิวต่างๆ
…………………..
คำที่เป็นหลักในศีลข้อนี้มีดังต่อไป –
“นัจจะ” = การฟ้อนรำ เช่น เต้นรำ ลีลาศ รำวง รำไทย รำในขบวนแห่
“คีตะ” = ขับร้อง คือ ร้องเพลง ไม่ว่าจะเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ หรือทำเสียงสูงต่ำในลำคอ (ที่รู้จักกันในคำฝรั่งว่า hum ฮัมเพลง)
“วาทิตะ” = ประโคมดนตรี คือบรรเลงเครื่องดนตรีต่าง เช่น เป่าปี่ สีซอ ตีกลอง ดีดกีตาร์
การปรบมือให้จังหวะก็น่าจะเข้าข่ายด้วย
“วิสูกะทัสสะนะ” = ดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ดูการแสดงต่างๆ เพื่อความเพลิดเพลิน
“มาลา” = ดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ธรรมดา หรือดอกไม้ที่เอามาร้อยเป็นพวงเป็นรูปทรงต่างๆ รวมทั้งสิ่งที่ทำเป็นรูปดอกไม้ เพื่อใช้ทัดหู สวมข้อมือ หรือประดับศีรษะเป็นต้น ให้ดูสวยงาม
“คันธะ” = ของหอม เช่น น้ำอบ น้ำหอม แป้งหอม เพื่อให้เกิดความพึงพอใจเมื่อได้กลิ่น
“วิเลปะนะ” = เครื่องย้อม เครื่องทา เครื่องผัดผิวต่างๆ คือที่เรียกรวมๆ ว่าเครื่องสำอาง กิริยาที่ใช้ก็คือที่เรียกว่า ผัดแป้ง แต่งหน้า ทาปาก เขียนคิ้ว ทำผม ย้อมผม โกรกผม ทำเล็บ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจแก่ผู้ที่มองเห็นด้วยตาหรือได้สัมผัสด้วยกาย
ตรงนี้มีปัญหาน่าคิดที่ถามไถ่กันในหมู่ผู้ถืออุโบสถว่า คนที่ทำผม ย้อมผม โกรกผม มาก่อนแล้ว เมื่อถึงวันอุโบสถผลของการกระทำเช่นนั้นก็ยังปรากฏอยู่ เช่นผมที่ย้อมหรือทำให้เป็นสีต่างๆ ก็ยังเป็นสีดำหรือสีนั้นๆ อยู่ อย่างนี้จะขัดกับการถืออุโบสถหรือไม่
จึงขอแทรกปัญหานี้ฝากให้แก่ท่านผู้ใฝ่ใจในทางธรรมไว้คิดเป็นการบ้านกันไปพลางๆ
“ธาระณะ” = ทัดทรง เช่น ทัดดอกไม้ ใส่หมวก (ใส่เพื่อสวยงาม)
“มัณฑะนะ” = ประดับ เช่น สวมสายสร้อย ห้อยต่างหู สวมแหวน
“วิภูสะนะ” = ตกแต่งร่างกาย เช่น สวมเสื้อ กางเกง กระโปรง ถุงน่อง รองเท้า ที่ออกแบบให้ดูหรูหรา เกินกว่าเจตนาที่จะใช้ปกปิดความอายป้องกันหนาวร้อน หรือมีเจตนาเพื่ออวดทรวดทรงองค์เอวเนื้อหนังมังสา
เมื่อใดก็ตามที่แต่งตัว แล้วมีการใช้ มาลาคันธะ เรื่อยมาจนถึง วิภูสะนะ ไม่ว่าจะหลายอย่างพร้อมๆ กัน หรือแม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อนั้นโปรดทราบว่า นั่นคือการแต่งตัวเพื่อให้สวยงาม คือสตรีกำลังทำตัวให้เป็นดอกไม้ ตามความหมายที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้
………….
อันที่จริง ศีลแปดหรือศีลอุโบสถข้อ ๗ นี้ มี ๒ ท่อน คือ ตั้งแต่ “นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ” นี่เป็นท่อนหนึ่ง และตั้งแต่ “มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนะ” นี่เป็นอีกท่อนหนึ่ง
และถ้าไปดูศีล ๑๐ ของสามเณรก็จะพบว่า มีศีลข้อนี้ด้วยเช่นกัน แต่ท่านแยกเป็น ๒ ข้อ คือ –
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะ เป็นข้อที่ ๗
มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนะ เป็นข้อที่ ๘
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนะ เป็นข้อที่ ๙
และเพิ่ม ชาตะรูปะระชะตะปะฏิคคะหะนะ (เว้นจากการรับเงินทอง) เป็นข้อที่ ๑๐
ดังนั้น ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว ศีลแปดหรือศีลอุโบสถนั้นเมื่อเทียบกับศีล ๑๐ ก็ต้องเป็น ๙ ข้อ ไม่ใช่ ๘ ข้อ
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ศีลอุโบสถนั้นน้อยกว่าศีลของสามเณรเพียงข้อเดียวเท่านั้น
(มีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
๑๐:๓๖
………………………….
สตรีกับดอกไม้ (๖)
…………………………
สตรีกับดอกไม้ (๔)
…………………………