สตรีกับดอกไม้
สตรีกับดอกไม้ (๘)
สตรีกับดอกไม้ (๘)
—————————–
และคิดต่อไปถึงศีลกับธรรม
………………..
เมื่อดอกไม้บาน
………………..
ทีนี้คำว่า ระดู นั้นเสียงใกล้เคียงกับคำว่า ฤดู (รึ-ดู)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายของคำว่า “ฤดู” ไว้ว่า –
…………………..
ส่วนของปีซึ่งแบ่งโดยถือเอาภูมิอากาศเป็นหลัก มักแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน หรือเป็น ๔ ช่วง คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ที่แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ ฤดูแล้งกับฤดูฝน ก็มี, เวลาที่กําหนดสําหรับงานต่าง ๆ เช่น ฤดูเก็บเกี่ยว ฤดูทอดกฐิน ฤดูถือบวช, เวลาที่เหมาะ เช่น ฤดูสัตว์ผสมพันธุ์; คราว, สมัย, เช่น ฤดูนํ้าหลาก
…………………..
คำว่า “ฤดู” ภาษาบาลีว่า “อุตุ”
สตรีที่มีระดูนั้นภาษาบาลีใช้คำว่า “อุตุนี” แปลว่า “หญิงผู้มีระดู” จัดเข้าเป็นองค์ประกอบ ๑ ใน ๓ ขององค์ประกอบที่ทำให้เกิดมนุษย์ตามหลักวิชาการทางพระพุทธศาสนา กล่าวคือ –
๑ มาตาปิตะโร สันนิปะติตา = มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน
๒ มาตา อุตุนี = มารดามีระดู
๓ คันธัพโพ ปัจจุปัฏฐิโต = มีวิญญาณมาปฏิสนธิ
(มหาตัณหาสังขยสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๒ ข้อ ๔๕๒, อัสสลายนสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๓ ข้อ ๖๒๘)
“อุตุ” เป็นคำเดียวกับ “ฤดู” คำว่า อุตุนี = มีระดู ก็คือ มีฤดู นั่นเอง
และความหมายหนึ่งของคำว่า “ฤดู” ก็คือ “เวลาที่เหมาะ เช่น ฤดูสัตว์ผสมพันธุ์; คราว, สมัย”
อันเป็นความหมายเดียวกับคำว่า “ได้เวลาแล้ว”
คือต้นไม้ออกดอกแล้ว พร้อมที่จะเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการสืบพันธุ์แล้วนั่นเอง
…………..
คำที่เกี่ยวกับระดู ในภาษาบาลียังมีอีกคำหนึ่ง คือ “ปุปฺผ” ดังปรากฏในคัมภีร์วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๑๗ มีข้อความว่า –
……………………
ยทา อุตุนี อโหสิ ปุปฺผํ เต อุปฺปนฺนํ โหติ, อถ เม อาโรเจยฺยาสิ.
แปลเป็นไทยว่า –
เมื่อใดเจ้ามีระดู ต่อมโลหิตเกิดมีแก่เจ้า เมื่อนั้นเจ้าพึงบอกแก่แม่
……………………
ในคัมภีร์ท่านแปลคำ “ปุปฺผ” ว่า “ต่อมโลหิต” ซึ่งก็หมายถึงเลือดประจำเดือน
“ปุปฺผ” ก็เป็นคำเดียวกับคำที่เราเอามาใช้ว่า “บุปผา” ที่แปลว่า ดอกไม้
หมายความว่า คำว่า บุปผา ที่เราแปลกันว่า ดอกไม้ นั้น มีความหมายเดียวกันกับเลือดประจำเดือน หรือระดูนั่นแหละ
หรือจะพูดเสียใหม่ก็ได้ ว่า ดอกไม้ก็คือเลือดประจำเดือนหรือระดูของต้นไม้นั่นเอง
เป็นอันได้ความตรงกันโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อใดพรรณไม้มีบุปผา (ดอกไม้) เกิดขึ้น แปลว่าพรรณไม้นั้นพร้อมที่จะเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการสืบพันธุ์แล้ว
เหมือนกับที่เมื่อใดสตรีมีบุปผา (ระดู) ก็แปลว่าสตรีนั้นพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการสืบพันธุ์เช่นเดียวกัน
ด้วยประการดังกล่าวมานี้ เหตุผลต้นเดิมที่ดอกไม้ต้องมีสีสวยหรือมีกลิ่นหอม หรือทั้งสวยทั้งหอม ก็เพื่อให้พร้อมที่จะทำหน้าที่ให้เกิดผลและเมล็ดเพื่อสืบพันธุ์
ดังนั้น เมื่อสตรีก็เหมือนดอกไม้ตามสัจธรรมที่ยอมรับโดยทั่วกัน (รวมทั้งตัวสตรีเองก็ยอมรับด้วย) เหตุผลในการที่สตรีแต่งตัวให้สวยงามก็ย่อมจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ดอกไม้ต้องมีสีสวยหรือมีกลิ่นหอมนั่นเอง
ดอกไม้มีสีสวยหรือมีกลิ่นหอมเพื่ออะไร?
ก็เพื่อให้พร้อมที่จะทำหน้าที่ให้เกิดผลและเมล็ดเพื่อสืบพันธุ์
สตรีแต่งตัวให้สวยงามเพื่ออะไร?
ใครยังตอบไม่ได้บ้าง?
…………….
ถ้ารู้ความหมายที่แท้จริงของการแต่งตัวให้สวยงามเช่นนี้แล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าทุกครั้งที่แต่งตัวให้สวยงามนั้น สตรีทั้งหลายจะคิดอย่างไร?
(มีต่อ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
๑๖:๒๘
…………………………
สตรีกับดอกไม้ (๙)
………………………….
สตรีกับดอกไม้ (๗)
………………………….