บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ภิกขุภาวะกับสมณศักดิ์

ภิกขุภาวะกับสมณศักดิ์

น้ำหนักอยู่ที่ไหน

……………………………………………………

ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์

https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/140B011N0000000000100.pdf

……………………………………………………

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาให้ พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) ดำรงสมณศักดิ์ พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมดิลก ปริยัตินายกคณาทร บวรศาสนกิจวิธาน ศีลสมาจารนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดสามพระยา พระอารามหลวง กรุงเทพมหานคร โดยให้ถือว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖

……………….

ท่านที่เคารพนับถือในพระเดชพระคุณพระพรหมดิลกต่างก็แสดงความปีติยินดี หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ถวายมุทิตาสักการะ” กันทั่วหน้า

หวังว่าชาวเราคงไม่ลืม น้อมจิตน้อมใจน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานด้วย

เห็นเรื่องและภาพที่ไปถวายมุทิตาสักการะกันแล้ว นอกจากพลอยยินดีแล้ว ผมคิดอะไรไปอีกทางหนึ่ง ดังที่ตั้งชื่อบทความนี้ว่า “ภิกขุภาวะกับสมณศักดิ์ น้ำหนักอยู่ที่ไหน”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าเรื่องที่คาใจคนส่วนหนึ่งก็คือ พระเดชพระคุณพระพรหมดิลกยังเป็นภิกษุอยู่หรือเปล่า

ไม่ใช่เฉพาะชาวบ้าน แม้แต่ชาววัดด้วยกันเอง ผมเชื่อว่าบางส่วนก็คาใจเช่นนั้นด้วย

ผมไม่แน่ใจว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาคณะสงฆ์ไทยเคยแสดงจุดยืนที่ชัดเจนไว้ก่อนแล้วหรือไม่ เช่น มหาเถรสมาคมมีมติหรือออกประกาศ-อะไรทำนองนี้-ว่าท่านยังเป็นพระอยู่ หรือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว 

แต่อย่างไรก็ตาม พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ก็ได้ทำให้แจ้งชัดอยู่ในตัว พูดภาษาปากก็ว่า “เคลียร์” ประเด็นนี้กระจ่างแจ้งแล้ว ดังข้อความว่า –

……………………………………………………

ประกอบกับไม่มีการกล่าวคำลาสิกขา และไม่มีการดำเนินการให้สละสมณเพศ ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ยังคงดำรงตนอย่างพระภิกษุโดยตลอดระหว่างถูกคุมขัง จึงมีสภาวะเป็นพระภิกษุ มีสถานะเป็น พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม (เปรียญธรรม ๙ ประโยค) ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๖

……………………………………………………

ข้อความท่อนท้ายที่ว่า “ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติรับทราบแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๖” นี่น่าสังเกตเป็นพิเศษ

ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๖

มหาเถรสมาคมมีมติรับทราบ “สภาวะเป็นพระภิกษุ มีสถานะเป็น พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม (เปรียญธรรม ๙ ประโยค)” วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๖ 

ก่อนหน้าประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ ๗ วัน

ก่อนหน้านั้น-คือตลอดเวลาที่ผ่านมา-มหาเถรสมาคมประกาศอะไรอย่างไรเกี่ยวกับสภาวะและสถานะของท่านไว้บ้างหรือเปล่า? 

ประเด็นนี้ชวนคิดเฉยๆ มีคำตอบหรือไม่มีคำตอบอย่างไร ก็ขอให้ผ่านไป 

เอาเป็นว่ายกประโยชน์ให้ท่าน คือสรุปว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา คณะสงฆ์ไทยรับทราบ/ยอมรับว่าท่านยังเป็นพระอยู่ 

และขออย่าให้มีใครเปิดเป็นประเด็นว่า-เพิ่งจะมารับทราบเอาเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๖ นี่เอง 

เพราะประเดี๋ยวก็จะมีคำถามตามมาว่า-แล้วก่อนหน้านั้นคือตลอดเวลาที่ผ่านมาล่ะ … ทีนี้ก็ไม่จบ

เมื่อสรุปดังว่าข้างต้นโน้นแล้ว (คณะสงฆ์ไทยรับทราบ/ยอมรับว่าท่านยังเป็นพระอยู่) เรื่องที่ผมจะชวนให้คิดก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชาววัดชาวบ้านปฏิบัติต่อท่านเหมือนปฏิบัติต่อพระทั่วไปหรือเปล่า

อันที่จริงควรจะถามด้วยว่า ตัวท่านเองปฏิบัติตัวเหมือนพระทั่วไปด้วยหรือเปล่า เช่น ออกบิณฑบาตตามปกติ (ข้อนี้เว้นเสียแต่ว่าตามปกติท่านไม่ได้ออกอยู่แล้ว) ลงทำวัตรสวดมนต์ร่วมกับพระในวัดตามปกติ วันพระใหญ่ก็ร่วมอุโบสถสังฆกรรมตามปกติ-อย่างนี้เป็นต้น

ประเด็นนี้เป็นข้อเท็จจริง ผมอยู่ไกล ไม่ทราบข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นตามนั้น

แต่กรณีชาววัดชาวบ้านทั่วไปปฏิบัติต่อท่าน เท่าที่ปรากฏก็คือท่านไม่ได้ออกงานใดๆ งานหลวงคงไม่ได้ออกอยู่แล้วเพราะท่านไม่มีตำแหน่ง แต่งานราษฎร์ คือวัดทั่วไปมีงาน ชาวบ้านทั่วไปมีงานทำบุญ ก็ไม่ได้ยินว่าวัดนั้นนิมนต์ท่านไป บ้านโน้นก็นิมนต์ท่านไป เหมือนที่นิมนต์พระทั่วไปเป็นปกติ นี่คือความหมายที่ว่า-ชาววัดชาวบ้านทั่วไปปฏิบัติต่อท่านอย่างไร 

แม้แต่งานตรวจข้อสอบบาลีสนามหลวงซึ่งทำกันที่วัดสามพระยา-วัดที่ท่านจำพรรษาอยู่นั่นเอง ก็ไม่ปรากฏว่าท่าน-ในฐานะ “พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม เปรียญธรรม ๙ ประโยค”-ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจข้อสอบด้วยรูปหนึ่งแต่ประการใด

ประเด็นเหล่านี้ (ท่านไม่ได้ออกงาน-คณะสงฆ์ไม่ได้ให้ท่านทำงาน) มีคำอธิบายได้เยอะ อธิบายอย่างไรก็ฟังขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่ากัน แต่ยืนยันได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาชาววัดชาวบ้านทั่วไปไม่ได้มองท่านอย่าง “ปกตัตตภิกษุ” (ปะ-กะ-ตัด-ตะ-) คือพระปกติ แต่มองท่านอย่างพระที่มีคดีติดตัว ยังไม่ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้สังคมหายคาใจ

ตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆ มีข่าวความคืบหน้าของคดีอยู่เสมอ แต่ถึงตอนลงท้าย “บัดนี้ คดีถึงที่สุดแล้ว” คำพิพากษาของศาลว่าอย่างไร ไม่มีใครพูดถึง 

ผมเองก็ไม่ทราบ ไม่ได้ตามข่าว เพราะรู้สึกสังเวชในการทำบาปกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่ต้น ท่านผู้ใดมีสำเนาคำพิพากษา ขอแรงเอามาเสนอเป็นข้อมูลให้รู้ประจักษ์ทั่วกัน จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง 

……………….

โปรดสังเกตและโปรดเข้าใจนะครับว่า พระบรมราชโองการที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น เป็นการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาสมณศักดิ์ คำขึ้นต้นก็ชัดเจนว่า “ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์”

ความบริสุทธิ์ของท่าน ศาลจะตัดสินอย่างไรก็ตาม

ภิกขุภาวะ คือสภาวะเป็นพระภิกษุของท่าน คณะสงฆ์จะตัดสินอย่างไรก็ตาม

แต่พระมหากรุณาพระบารมีในครั้งนี้ก็ได้ปกแผ่ครอบคลุมไปทั่วถึงทั้งสองกรณีนั้นด้วยอย่างหมดจดสิ้นเชิง กล่าวตามสำนวนพระบาลีก็ว่า “เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ ปกาเสสิ” = ประกาศสิ่งที่เป็นความบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

นับตั้งแต่นี้ไป ชาววัดชาวบ้านทั้งหลายก็คงจะปฏิบัติต่อท่านในฐานะ “พระเถระผู้ใหญ่” ดังเช่นที่เคยปฏิบัติต่อท่านมาเมื่อก่อนหน้าโน้น สิ่งบอกเหตุก็คือ เริ่มมีภาพมีข่าว “ถวายมุทิตาสักการะ” เผยแผ่กันแพร่หลาย และคงจะต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติ

ที่ผมอยากชวนคิดก็คือ ถ้าสมมุติว่าไม่มี “ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์” ออกมา ชาววัดชาวบ้านทั้งหลายจะปฏิบัติต่อท่านเหมือนกับว่าท่านไม่ใช่ “ปกตัตตภิกษุ” ไปอีกนานแค่ไหน

และการที่ชาวเราหันกลับมาปฏิบัติต่อท่านเหมือนเดิมนั้น เราตั้งอารมณ์ไว้ถูกที่ถูกทางถูกธรรมหรือเปล่า 

เราปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านดำรงอยู่ในภิกขุภาวะ คือพระภิกษุรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา

หรือว่าเราปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระพรหมดิลก

ภิกขุภาวะกับสมณศักดิ์ เราวางน้ำหนักไว้ตรงไหน ถามใจกันดู

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

๒๐ มีนาคม ๒๕๖๖

๑๗:๑๕

…………………………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *