ไม่เจ็บไม่จน (บาลีวันละคำ 4,153)
ไม่เจ็บไม่จน
พูดเป็นบาลีว่าอย่างไร
“ไม่เจ็บไม่จน” เป็นคำที่พระสมัยนี้นิยมให้พรแก่ญาติโยม โยมฟังแล้วก็ชอบ เพราะถูกกับจริตของคนทั่วไป
(๑) “ไม่เจ็บ”
คำบาลีที่เป็นสามัญคือ “อโรค” อ่านว่า อะ-โร-คะ ประกอบด้วย น + โรค
(ก) “น” อ่านว่า นะ เป็นศัพท์จำพวกนิบาต แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)
(ข) “โรค” บาลีอ่านว่า โร-คะ รากศัพท์มาจาก รุชฺ (ธาตุ = เสียดแทง, ทำลาย) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อุ ที่ รุ-(ชฺ) เป็น โอ (รุชฺ > โรช), แปลง ชฺ เป็น ค
: รุชฺ + ณ = รุชณ > รุช > โรช > โรค แปลตามศัพท์ว่า (1) “อาการที่เสียดแทง” (2) “อาการที่ทำลายอวัยวะน้อยใหญ่” หมายถึง ความเจ็บป่วย, ความไข้ (illness, disease)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“โรค, โรค– : (คำนาม) ภาวะที่ร่างกายทํางานได้ไม่เป็นปรกติเนื่องจากเชื้อโรคเป็นต้น. (ป., ส.).”
น + โรค แปลง น เป็น อ– ตามกฎการประสมของ น + กล่าวคือ :
(1) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แปลง น เป็น อ–
(2) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ (อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) แปลง น เป็น อน–
ในที่นี้ “โรค” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ คือ ร– = โร– จึงต้องแปลง น เป็น อ
น + โรค = นโรค > อโรค แปลตามศัพท์ว่า “ไม่มีโรค” > ไม่เจ็บป่วย > ไม่เจ็บ
(๒) “ไม่จน”
คำบาลีที่ตรงกับคำนี้คือ “อทลิทฺท” อ่านว่า อะ-ทะ-ลิด-ทะ ประกอบด้วย น + ทลิทฺท”
(ก) “น” อ่านว่า นะ เป็นศัพท์จำพวกนิบาต แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)
(ข) “ทลิทฺท” อ่านว่า ทะ-ลิด-ทะ รากศัพท์มาจาก –
(1) ทลิทฺทฺ (ธาตุ = ลำบาก) + อ (อะ) ปัจจัย
: ทลิทฺทฺ + อ = ทลิทฺท แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ลำบาก”
(2) ทลฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + อิทฺท ปัจจัย
: ทลฺ + อิทฺท = ทลิทฺท แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ถึงความตกยาก”
“ทลิทฺท” ในบาลี:
1 ใช้เป็นคำนาม (ปุงลิงค์) หมายถึง คนจรจัด, คนตกยาก, คนขอทาน (a vagabond, beggar)
2 ใช้เป็นคุณศัพท์ หมายถึง จรจัด, เดินเล่น, จน, ขัดสน, สมเพช (vagrant, strolling, poor, needy, wretched)
บาลี “ทลิทฺท” สันสกฤตเป็น “ทริทฺร”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
“ทริทฺร : (คำวิเศษณ์) อนาถา, ยากจน, เข็ญใจ, ตกทุกข์; poor, indigent, needy, distressed.”
บาลี “ทลิทฺท” ใช้ในภาษาไทยเป็น “ทลิท” (ทะ-ลิด) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ทลิท : (คำแบบ) (คำวิเศษณ์) ยากจน, เข็ญใจ, เช่น พราหมณพฤฒาเฒ่าทลิทยากยิ่งยาจก (ม. ร่ายยาว ชูชก). (ป. ทลิทฺท; ส. ทริทฺร).”
น + ทลิทฺท แปลง น เป็น อ– ตามกฎการประสมของ น + (ดูข้างต้น)
ในที่นี้ “ทลิทฺท” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ คือ ท– จึงต้องแปลง น เป็น อ
น + ทลิทฺท = นทลิทฺท > อทลิทฺท แปลตามศัพท์ว่า “ไม่ใช้ผู้ยากจน” “ไม่ใช่คนเข็ญใจ” > ไม่จน
ขยายความ :
“อโรค” และ “อทลิทฺท” = ไม่เจ็บไม่จน:
ให้พรแก่ผู้ชายคนเดียว พูดควบกันเป็น “อโรโค โหหิ อทลิทฺโท” (อะโรโค โหหิ อะทะลิทโท)
ให้พรแก่ผู้หญิงคนเดียว พูดควบกันเป็น “อโรคา โหหิ อทลิทฺทา” (อะโรคา โหหิ อะทะลิททา)
ให้พรแก่ญาติโยมหลายคน (ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป) พูดควบกันเป็น “อโรคา โหถ อทลิทฺทา” (อะโรคา โหถะ อะทะลิททา)
แถม :
พรเป็น “ผล” หลักการให้พรในพระพุทธศาสนาจึงนิยมอ้างการประพฤติธรรมอันเป็น “เหตุ” กำกับไว้ด้วยเสมอ ไม่ใช่ขอให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์บันดาล หรือได้พรขึ้นมาลอยๆ
ตัวอย่างที่ดีที่สุดในการให้พรดังกล่าวนี้ก็คือ บทจตุรพิธพร อันเป็นบทให้พรที่ชาวพุทธคุ้นกันดี
…………..
อภิวาทนสีลิสฺส
นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน
จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ
อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ.
บุคคลผู้มีปรกติไหว้กราบ
มีปรกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์
ธรรมสี่ประการย่อมเจริญ
คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ที่มา: สหัสสวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 18
…………..
เราจะได้ยินพุทธภาษิตบทนี้เสมอเวลาพระท่านอนุโมทนา แต่ส่วนมากเราฟังกันด้วยความเข้าใจว่า แค่ได้ฟังก็ได้บุญ คือสำเร็จผลเป็นอายุ วรรณะ สุขะ พละ เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรอีก
ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เราต้องไปทำ “เหตุ” เสียก่อน “ผล” จึงจะเกิด
ในพุทธภาษิตท่านแสดง “เหตุ” ไว้ว่า –
๑ มีปรกติไหว้กราบ
๒ มีปรกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์
ทำอย่างนี้จึงจะได้ “ผล” คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ผลคืออายุ วรรณะ สุขะ พละ ไม่ใช่สำเร็จได้เพียงเพราะพระท่านให้พร
ตัวเราผู้ต้องการพรเช่นนั้นต้องปฏิบัติ “เหตุ” ด้วย
…………..
อะไรคือเหตุที่จะ “ไม่เจ็บไม่จน” ทั้งผู้ให้พรและผู้รับพรพึงศึกษาและปฏิบัติเข้าเถิด
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ไม่ต้องจบประโยคเก้า
: ให้พรทุกค่ำเช้า ก็พูดเป็นภาษาบาลีได้
#บาลีวันละคำ (4,153)
26-10-66
…………………………….
…………………………….