อสมาทานจาโร (บาลีวันละคำ 4,171)
อสมาทานจาโร
อานิสงส์กฐินที่ไม่มีใครนึกถึง
…………..
ภิกษุผู้ได้กรานกฐินแล้วย่อมได้อานิสงส์ (คือข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระวินัย) 5 ประการ (เหมือนอานิสงส์การจำพรรษา) คือ
(1) จาริกไปไม่ต้องบอกลา
(2) จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ
(3) ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
(4) เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา
(5) จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของได้แก่พวกเธอ
อานิสงส์กฐินทั้ง 5 ข้อนี้ควรแก่การศึกษาให้เข้าใจ
คำหนึ่งที่น่ารู้คือ “จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ”
“จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ” หมายความว่าอย่างไร?
“จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ” แปลมาจากคำบาลีว่า “อสมาทานจาโร” อ่านว่า อะ-สะ-มา-ทา-นะ-จา-โร แยกศัพท์เป็น อสมาทาน + จาโร
(๑) “อสมาทาน”
อ่านว่า อะ-สะ-มา-ทา-นะ รูปคำเดิมมาจาก น + สมาทาน
(ก) “น” บาลีอ่านว่า นะ เป็นคำจำพวก “นิบาต” คำจำพวกนี้ไม่แจกด้วยวิภัตติปัจจัย คือคงรูปเดิมเสมอ อาจเปลี่ยนรูปโดยวิธีสนธิกับคำอื่นบ้าง แต่คงถือว่าเป็นคำเดิมเพราะเวลาแปลต้องแยกคำออกเป็นคำเดิมเสมอ
นักเรียนบาลีมักท่องจำรวมกับคำอื่นในกลุ่มเดียวกันว่า “น ไม่ โน ไม่ มา อย่า ว เทียว” (น [นะ] = ไม่, โน = ไม่, มา = อย่า, ว [วะ] = เทียว)
“น” เป็นนิบาตบอกความปฏิเสธ แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)
(ข) “สมาทาน” อ่านว่า สะ-มา-ทา-นะ รากศัพท์มาจาก สํ + อา + ทา + ยุ ปัจจัย
(1) “สํ” อ่านว่า สัง เป็นคำจำพวก “อุปสรรค” ในบาลีมีคำ “อุปสรรค” ประมาณ 20 คำ
คำ “อุปสรรค” มีความหมายอย่างไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อุปสรรค : (คำนาม) … คำสำหรับใช้เติมข้างหน้าคำนามหรือคำกริยาที่เป็นรูปคำบาลีหรือสันสกฤตให้มีความหมายแผกเพี้ยนไปจากเดิม หรือมีความหมายตรงข้ามกับความหมายเดิมเป็นต้น และถือเป็นคำเดียวกับคำนามหรือคำกริยานั้น เพราะตามปรกติจะไม่ใช้ตามลำพัง เช่น วัฒน์ = เจริญ อภิวัฒน์ = เจริญยิ่ง ปักษ์ = ฝ่ายปฏิปักษ์ = ฝ่ายตรงข้าม, ข้าศึก, ศัตรู.”
คำว่า “สํ” นักเรียนบาลีท่องจำว่า “สํ = พร้อม, กับ, ดี” ใช้ในความหมายว่า พร้อมกัน, ร่วมกัน มักแปลงรูปเป็นอย่างอื่น เช่นในที่นี้แปลงนิคหิตเป็น ม : สํ > สม
(2) “อา” เป็นคำจำพวกอุปสรรค นักเรียนบาลีท่องจำว่า “อา = ทั่ว, ยิ่ง, กลับความ”
ในที่นี้ “อา” ใช้ในความหมาย “กลับความ” เช่น –
“คม” แปลว่า “ไป”
“อาคม” กลับความ แปลว่า “มา”
ในที่นี้ “ทาน” แปลว่า “ให้”
“อาทาน” กลับความ แปลว่า “เอา” คือ รับเอา ถือเอา
(3) “ทาน” อ่านแบบบาลีว่า ทา-นะ รากศัพท์มาจาก ทา (ธาตุ = ให้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ)
: ทา + ยุ > อน = ทาน (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “การให้” “สิ่งของสำหรับให้”
“ทาน” ในบาลีใช้ในความหมายว่า –
(1) การให้, ยกมอบแก่ผู้อื่น, ให้ของที่ควรให้ แก่คนที่ควรให้ เพื่อประโยชน์แก่เขา, สละให้ปันสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
(2) สิ่งที่ให้, ทรัพย์สินสิ่งของที่มอบให้หรือแจกออกไป
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ทาน” ว่า giving, dealing out, gift; almsgiving, liberality, munificence (การให้, การแจกให้, ของขวัญ; การให้ทาน, การมีใจคอกว้างขวาง)
“ทาน” ใช้ในรูปเดียวกันทั้งบาลีและสันสกฤต
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ทาน : (คำนาม) ‘ทาน’, การให้, การบริจาค; มันเหลวซึ่งเยิ้มออกจากขมับช้างตกน้ำมัน; การอุปถัมภ์, การบำรุง; วิศุทธิ, นิรมลีกรณ์; การตัด, การแบ่ง; ทักษิณา, ของถวาย, ของให้เปนพิเศษ; การตี, การเฆาะ; อรัณยมธุ, น้ำผึ้งป่า; giving, gift, donation; fluid that flows from the temples of an elephant in rut; nourishing, cherishing; a present, a special gift; striking, beating; wild honey.”
การประสมคำ “สมาทาน” :
(๑) อา + ทาน = อาทาน
“อาทาน” ในบาลีมีความหมายว่า การถือเอา, การรวบเอา, การจับเอา, การยึดเอา (taking up, getting, grasping, seizing)
“อาทาน” ใช้ในความหมายโดยอุปมาหมายถึง การยึดถือ, การเกาะติดอยู่กับโลก, การยึดถือใน [โลกิยารมณ์] (appropriating, clinging to the world, seizing on [worldly objects])
“อาทาน” ยังใช้ในความหมายอื่นๆ อีก คือ –
(1) การกิน [อาหาร], การกินหญ้า (taking [food], pasturing)
(2) การรับเอา, การได้มา, การถือเอา, การยึดถือ (getting, acquiring, taking, seizing)
(3) ตัณหา (attachment, clinging)
(๒) สํ + อาทาน แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น ม
: สํ > สม + อาทาน = สมาทาน บาลีอ่านว่า สะ-มา-ทา-นะ ใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) ถือเอา, นำไป (taking, bringing)
(2) สมาทาน, กระทำ, ได้มา (taking upon oneself, undertaking, acquiring)
(3) ความตั้งใจ, การอธิษฐาน (resolution, vow)
ในภาษาไทย “สมาทาน” อ่านว่า สะ-มา-ทาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สมาทาน : (คำกริยา) รับเอาถือเอาเป็นข้อปฏิบัติ เช่น สมาทานศีล. (ป., ส.).”
ในที่นี้ “สมาทาน” ใช้ในความหมายว่า นำไป (bringing)
น + สมาทาน
ตามกฎไวยากรณ์บาลี :
(1) ถ้าพยางค์แรกของคำที่ “น” ไปประสมด้วย ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ท่านให้แปลง “น” เป็น “อ” (อะ)
(2) ถ้าพยางค์แรกของคำที่ “น” ไปประสมด้วย ขึ้นต้นด้วยสระ คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ท่านให้แปลง “น” เป็น “อน” (อะ-นะ)
ในที่นี้ “สมาทาน” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ดังนั้นจึงต้องแปลง “น” เป็น “อ”
: น + สมาทาน = นสมาทาน > อสมาทาน แปลว่า “การไม่ถือเอาไปพร้อมกัน” หมายถึง ไม่ต้องนำไปทั้งหมด
(๒) “จาโร”
รูปคำเดิมเป็น “จาร” บาลีอ่านว่า จา-ระ รากศัพท์มาจาก จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ; ศึกษา) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, “ทีฆะต้นธาตุ” คือ อะ ที่ จ-(รฺ) เป็น อา (จรฺ > จาร)
: จรฺ + ณ = จรฺณ > จร > จาร แปลตามศัพท์ว่า “การเที่ยวไป” “การประพฤติ” หมายถึง การเคลื่อนไหว, การเดิน, การไป; การกระทำ, ความประพฤติ, การปฏิบัติ, พิธีกรรม (motion, walking, going; doing, behaviour, action, process)
อสมาทาน + จาร = อสมาทานจาร (อะ-สะ-มา-ทา-นะ-จา-ระ) แปลตามศัพท์ว่า “การไปโดยไม่ถือเอาไปพร้อมกัน” หมายถึง การไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องเอาไตรจีวรไปทุกผืน
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อสมาทานจาร” ว่า going for alms without taking with one [the usual set of three robes] (การไปบิณฑบาตโดยปราศจากการครอง [ไตรจีวร] ผืนใดผืนหนึ่ง)
ในอานิสงส์กฐิน ท่านแปล “อสมาทานจาร” ว่า จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ
“อสมาทานจาร” แจกด้วยวิภัตตินามที่หนึ่ง (ปฐมาวิภัตติ) เอกวจนะ ปุงลิงค์ เปลี่ยนรูปเป็น “อสมาทานจาโร”
ขยายความ :
อานิสงส์กฐินข้อนี้ เกี่ยวโยงกับสิกขาบทที่ 2 แห่งจีวรวรรคในหมวดอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
สิกขาบทที่ 2 แห่งจีวรวรรค บัญญัติไว้ดังนี้ –
…………..
นิฏฺฐิตจีวรสฺมึ ภิกฺขุนา อุพฺภตสฺมึ กฐิเน เอกรตฺตมฺปิ เจ ภิกฺขุ ติจีวเรน วิปฺปวเสยฺย อญฺญตฺร ภิกฺขุสมฺมติยา นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยนฺติ ฯ
ที่มา: วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 2 ข้อ 11
…………..
หนังสือ วินัยมุขเล่ม 1 พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แปลไว้ดังนี้ –
…………..
จีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุเดาะเสียแล้ว ถ้าภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้สิ้นราตรีหนึ่ง เว้นเสียแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์
ที่มา: วินัยมุขเล่ม 1 หน้า 84-85
…………..
หนังสือ “นวโกวาท” พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แปลสรุปไว้ดังนี้ –
…………..
ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ
…………..
ผ้าคือเครื่องนุ่งห่มเป็นของจำเป็น สมัยพุทธกาลผ้าหายาก เครื่องนุ่งห่มของภิกษุมี 3 ผืน ที่เรียกว่า “ไตรจีวร” มีพุทธบัญญัติให้ภิกษุมีได้เพียงชุดเดียว จึงเป็นบริขารที่ต้องดูแลรักษาอย่างเข้มงวด
เจตนาของสิกขาบทนี้ก็คือ ให้ภิกษุเก็บรักษาไตรจีวรไว้กับตัวตลอดเวลา มีหลักปฏิบัติว่า ทุกเช้าของแต่ละวันภิกษุจะต้องมีไตรจีวรอยู่กับตัว ถ้าอรุณขึ้น จีวรผืนใดผืนหนึ่งไม่อยู่ติดตัว ถือว่ามีความผิด ที่เรียกว่า “ต้องอาบัติ”
หลักปฏิบัติที่พระสมัยก่อนในเมืองไทยยึดถือก็คือ เวลาประมาณตีสี่จะตื่นขึ้นมานุ่งห่มไตรจีวรครบชุด เรียกกันว่า “ครองผ้า” เวลาดังกล่าวนี้จึงเป็นโอกาสให้ได้ไหว้พระสวดมนต์ที่เรียกว่า “ทำวัตร” และปฏิบัติจิตภาวนาไปด้วย จนกระทั่งอรุณขึ้นเป็นวันใหม่แล้วจึงจะเปลื้องจีวรออกได้ เรียกว่า “เปลื้องครอง” และจะปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน กรณีที่ไปค้างแรมที่อื่นจึงต้องนำไตรจีวรไปด้วยครบสำรับ เมื่อถึงเวลาจะได้ครองผ้าตามพระวินัย
คำว่า “ครองผ้า” และ “เปลื้องครอง” นี้พระรุ่นเก่าจะรู้ความหมายกันดี
แต่ถ้าภิกษุได้กรานกฐิน (ที่เราเรียกกันว่าได้รับกฐิน) จะได้รับสิทธิพิเศษ คือ ไม่ต้องมีไตรจีวรอยู่กับตัวครบชุดทุกเช้าก็ได้ นั่นคือที่คำในอานิสงส์กฐินบอกว่า “จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ” สิทธิพิเศษข้อนี้ได้รับเป็นเวลา 5 เดือนนับจากวันออกพรรษา
อย่างไรก็ตาม สิกขาบทนี้ก็มีพุทธานุญาตผ่อนผันเพื่อไม่ให้เกิดความลำบากเกินไปในการปฏิบัติ ข้อผ่อนผันก็คือ ในเขตที่อยู่ด้วยกัน เช่นบัดนี้คือในวัด สงฆ์ในวัดนั้น ๆ อาจกำหนดให้บางพื้นที่ภายในวัดเป็นพื้นที่ผ่อนผัน เมื่อภิกษุไปอยู่ในพื้นที่นั้นจนรุ่งอรุณ แม้ไม่ได้มีไตรจีวรอยู่ติดตัวครบสำรับ คือไม่ได้ครองผ้า ก็ให้ถือว่าไม่ต้องอาบัติ พื้นที่ดังกล่าวนี้ ภาษาพระวินัยเรียกว่า “ติจีวราวิปปวาส” (ติ-จี-วะ-รา-วิบ-ปะ-วาด) แปลว่า พื้นที่ซึ่งถือว่าไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวร
อีกประการหนึ่ง ภิกษุบางรูป เช่นภิกษุอาพาธเป็นต้น ไม่สะดวกที่จะปฏิบัติตามสิกขาบทนี้ สงฆ์อาจประกาศอนุญาตเฉพาะรายให้การไม่ครองไตรจีวรครบสำหรับของภิกษุรูปนั้นไม่เป็นความผิด กรณีเช่นนี้คือที่เรียกว่า “ได้รับสมมติ”
…………..
ดูก่อนภราดา!
กฎเกณฑ์ของสมาคมหรือองค์กรใด ๆ ก็ตาม –
: ปฏิบัติไม่ได้ อย่าเข้าไป
: ปฏิบัติไม่ไหว ถอยออกมา
#บาลีวันละคำ (4,171)
13-11-66
…………………………….
…………………………….