กลฺลกายา (บาลีวันละคำ 4,419)
กลฺลกายา
คำที่วัดราคาของนักเรียนบาลี
อ่านว่า กัน-ละ-กา-ยา
แยกศัพท์เป็น กลฺล + กายา
(๑) “กลฺล”
อ่านว่า กัน-ละ รากศัพท์มาจาก –
(1) กลฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + ล ปัจจัย, “ลบสระที่สุดธาตุ” คือลบ อะ ที่ (ก)-ลฺ (ตามสูตรที่ว่าพยัญชนะทุกตัวมีสระอาศัยอยู่ ต้องลบสระตัวนั้นเสียก่อนจึงจะเอาพยัญชนะตัวอื่นมาต่อข้างท้ายได้)
: กลฺ + ล = กลฺล แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เป็นไปตามสบายในทุกอิริยาบถ”
(2) กลฺย (ความไม่มีโรค) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แปลง ลฺย เป็น ลฺล
: กลฺย + ณ = กลฺยณ > กลฺย > กลฺล แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ดำรงอยู่ในความไม่มีโรคคือความทนทานได้ตลอดกาล”
“กลฺล” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) สบาย, มีสุขภาพดี, แข็งแรง (well, healthy, sound)
(2) ฉลาด, สามารถ, ชำนิชำนาญ (clever, able, dexterous)
(3) เรียบร้อย, พร้อม (ready, prepared)
(4) เหมาะ, สมควร, ถูกต้อง (fit, proper, right)
(๒) “กายา”
รูปคำเดิมเป็น “กาย” อ่านว่า กา-ยะ รากศัพท์มาจาก –
(1) กุ (สิ่งที่น่ารังเกียจ, สิ่งที่น่าเกลียด) + อาย (ที่มา, ที่เกิดขึ้น), “ลบสระหน้า” คือ อุ ที่ กุ (กุ > ก)
: กุ > ก + อาย = กาย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เกิดขึ้นของสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหลาย”
(2) ก (อวัยวะ) + อายฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป), + อ (อะ) ปัจจัย
: ก + อายฺ = กายฺ + อ = กาย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่เป็นไปแห่งอวัยวะทั้งหลาย”
(3) กาย (ร่างกาย) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ
: กาย + ณ = กายณ > กาย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เกิดขึ้นแห่งส่วนย่อยทั้งหลายเหมือนร่างกาย” (คือร่างกายเป็นที่รวมแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ฉันใด “สิ่งนั้น” ก็เป็นที่รวมอยู่แห่งส่วนย่อยทั้งหลายฉันนั้น)
“กาย” (ปุงลิงค์) หมายถึง ร่างกาย; กลุ่ม, กอง, จำนวนที่รวมกัน, การรวมเข้าด้วยกัน, ที่ชุมนุม (body; group, heap, collection, aggregate, assembly)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“กาย, กาย– : (คำนาม) ตัว เช่น ไม่มีผ้าพันกาย, มักใช้เข้าคู่กับคำ ร่าง เป็น ร่างกาย, ใช้เป็นส่วนท้ายของสมาส หมายความว่า หมู่, พวก, เช่น พลกาย = หมู่ทหาร. (ป., ส.).”
กลฺล + กาย = กลฺลกาย (กัน-ละ-กา-ยะ) แปลว่า “มีร่างกายแข็งแรง” หรือ “มีร่างกายสดชื่น”
“กลฺลกาย” ใช้เป็นคุณศัพท์ของ “ภิกฺขู” (ภิกษุทั้งหลาย) ซึ่งเป็นพหุวจนะ จึงเปลี่ยนรูปเป็น “กลฺลกายา” (กัน-ละ-กา-ยา)
ขยายความ :
คำว่า “กลฺลกายา” ที่ยกมานี้ปรากฏในพระไตรปิฎกเรื่องต้นเหตุที่ถวายผ้าอาบน้ำฝน
เรื่องโดยสรุปคือ นางวิสาขาไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วนิมนต์พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้านในวันรุ่งขึ้น
ครั้นตอนเช้า ฝนตกลงมาห่าใหญ่ พระพุทธองค์รับสั่งให้ภิกษุสรงน้ำฝน ภิกษุทั้งหลายเปลือยกายสรงน้ำฝน
นางวิสาขาเตรียมภัตตาหารเรียบร้อยแล้วก็สั่งสาวใช้ให้ไปแจ้งแก่ภิกษุว่า ภัตตาหารเสร็จแล้ว นิมนต์ไปที่บ้านได้
สาวใช้ไปเห็นภิกษุเปลือยกายสรงน้ำฝน ก็กลับไปบอกนางวิสาขาว่า ในวัดไม่มีพระ มีแต่ชีเปลือย นางวิสาขาบอกสาวใช้ให้กลับไปบอกท่านอีกที
เมื่อสาวใช้กลับไปที่วัดเป็นครั้งที่ 2 ภิกษุทั้งหลายสรงน้ำฝนพอแก่ความต้องการแล้วก็กลับเข้ากุฏิไปหมด สาวใช้ไปถึงวัด ไม่เห็นภิกษุสักรูป ก็กลับไปบอกนางวิสาขาว่า ในวัดไม่มีพระ นางวิสาขาก็บอกสาวใช้ให้กลับไปบอกภิกษุเป็นครั้งที่ 3 พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จึงเสด็จไปที่บ้านนางวิสาขา
นางวิสาขากราบทูลพระพุทธองค์ว่า ภิกษุเปลือยกายสรงน้ำเป็นภาพที่ไม่น่าดู จึงขอพุทธานุญาตถวายผ้าอาบน้ำฝนซึ่งภิกษุยังไม่เคยมีใช้มาก่อน พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต นางวิสาขาจึงเป็นคนแรกที่ถวายผ้าอาบน้ำฝน
…………..
https://84000.org/tipitaka/read/?5/153
…………..
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=5&siri=39
…………..
ข้อความตอนที่บรรยายว่า ภิกษุทั้งหลายสรงน้ำฝนพอแก่ความต้องการแล้วก็กลับเข้ากุฏิ ต้นฉบับบาลีในพระไตรปิฎกว่าดังนี้ –
…………..
อถโข เต ภิกฺขู คตฺตานิ สีติกริตฺวา กลฺลกายา จีวรานิ คเหตฺวา ยถาวิหารํ ปวิสึสุ ฯ
ที่มา: จีวรขันธกะ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 5 ข้อ 153
…………..
พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวงแปลว่า –
…………..
ครั้นเวลาต่อมา ภิกษุเหล่านั้นทำตัวให้เย็น มีกายงาม ต่างถือจีวรเข้าไปสู่ที่อยู่ตามเดิม
…………..
พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแปลว่า –
…………..
สมัยนั้น ภิกษุเหล่านั้นชำระร่างกายจนหนาวแล้วนุ่งผ้าเรียบร้อย ต่างถือจีวรเข้าไปสู่ที่อยู่ตามเดิม
…………..
คำว่า “กลฺลกายา” :
พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวงแปลว่า “มีกายงาม”
พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ แปลว่า “นุ่งผ้าเรียบร้อย”
คำว่า “กลฺลกายา” คัมภีร์สารัตถทีปนี ฎีกาพระวินัยไขความไว้ว่า –
…………..
กลฺลกายาติ อกิลนฺตกายา ปีติโสมนสฺเสหิ ผุฏฺฐสรีรา ฯ
ที่มา: สารัตถทีปนี ภาค 4 หน้า 303
…………..
ในคำไขความนั้น คำว่า “อกิลนฺตกายา” แปลตามศัพท์ว่า “ร่างกายไม่ลำบาก” ตรงกับที่เราพูดกันว่า อาบน้ำแล้วสบายตัว
คำว่า “ปีติโสมนสฺเสหิ ผุฏฺฐสรีรา” แปลตามศัพท์ว่า “มีสรีระอันปีติและโสมนัสทั้งหลายกระทบแล้ว” หมายความว่า ปีติโสมนัสแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง คือร่างกายสดชื่น
คำว่า “กลฺลกายา” จึงกลั่นความหมายออกมาได้ว่า “ร่างกายสดชื่น”
กลฺล = สดชื่น (ดูความหมายของ “กลฺล” ข้างต้น)
กายา = ร่างกาย
กลฺลกายา = มีกายงาม
กลฺลกายา = นุ่งผ้าเรียบร้อย
กลฺลกายา = ร่างกายสดชื่น
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “กลฺลกาย” ว่า sound [in body], refreshed (แข็งแรง [ในร่างกาย], มีความสดชื่น)
นี่คือปัญหาที่ผู้ศึกษาพระไตรปิฎกจากฉบับแปลเป็นไทยจะต้องเผชิญ คือคำแปลที่ต่างกันย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจต่างกัน ภาพในความคิดคำนึงก็ต่างกันออกไป แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคำแปลอย่างไหนถูก อย่างไหนไม่ถูก
แล้วถ้าเป็นคำที่ว่าด้วยตัวหลักธรรมหรือหลักปฏิบัติโดยตรง คำแปลที่ตางกันเช่นนี้จะก่อให้เกิดความสับสนในหลักคำสอนมากไปอีกสักเพียงไร
นี่คืองานของนักเรียนบาลี
เห็นหรือยังว่า เรียนบาลีไม่ใช่จบแค่สอบได้แล้วก็ชื่นชมยินดีกันอยู่แค่นั้น ดังที่กำลังเป็นกันอยู่ แต่ต้องก้าวต่อไปให้ถึงงานบาลีซึ่งอยู่ที่พระไตรปิฎก
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เรียนจบหมอ ไม่รักษาคนป่วย ดังฤๅจะเป็นหมอที่ดี
: เรียนจบบาลี ไม่ทำงานบาลี จะเรียนให้เป็นดังฤๅ
#บาลีวันละคำ (4,419)
18-7-67
…………………………….
…………………………….