อนุโมทามิ/อนุโมทนา (บาลีวันละคำ 4,228)
อนุโมทามิ เป็นคำกริยา
อนุโมทนา เป็นคำนาม
“อนุโมทามิ” กับ “อนุโมทนา” เป็นคำที่มีผู้นิยมพูดเมื่ออนุโมนาบุญ แต่ส่วนใหญ่พูดโดยไม่รู้ไม่เข้าใจว่า 2 คำนี้ต่างกันอย่างไร
(๑) “อนุโมทามิ” (อะนุโมทามิ) เป็นคำกริยา (verb) (บาลีไวยากรณ์ใช้ว่า “กิริยา”) แปลว่า “ข้าพเจ้าขออนุโมทนา”
“อนุโมทามิ” รากศัพท์มาจาก อนุ (คำอุปสรรค = น้อย,ภายหลัง, ตามหลัง, เนืองๆ) + มุทฺ (ธาตุ = ยินดี, ชื่นชม) + อ (อะ) ปัจจัยประจำหมวดธาตุ + มิ วิภัตติอาขยาตหมวดวัตตมานา อุตมบุรุษ เอกพจน์ (ประธานเป็น “อหํ” = ข้าพเจ้า), แผลง อุ ที่ มุ-(ทฺ) เป็น โอ แล้วทีฆะ อะ ที่ (มุ)-ทฺ เป็น อา (มุทฺ > โมท > โมทา)
: อนุ + มุทฺ + อ = อนุมุท + มิ = อนุมุทมิ > อนุโมทมิ > อนุโมทามิ แปลตามตัวว่า “ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีด้วย” ตรงกับที่เรานิยมพูดกันว่า “ขออนุโมทนา”
ถ้าจะใช้คำว่า “อนุโมทามิ” ในการกล่าวคำอนุโมทนา ก็พูดเฉพาะ “อนุโมทามิ” เท่านั้นพอ ไม่ต้องมีคำประกอบ เช่นไม่ต้องพูดว่า “ขออนุโมทามิด้วยนะครับ” เพราะคำว่า “อนุโมทามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้าขออนุโมทนา” อยู่แล้วในตัว
ควรทราบเป็นความรู้ไว้อีกว่า “อนุโมทามิ” ใช้สำหรับพูดคนเดียว เพราะคำกริยาลงท้าย “-มิ” เป็นเอกพจน์ ตามหลักที่รู้กันทั่วไปว่า “คนเดียว –มิ หลายคน –มะ” ว่าตามหลักไวยากรณ์ ประธานในประโยคคือ “อหํ” (อะหัง) แปลว่า “ข้าพเจ้า” คำฝรั่งว่า I ใช้ได้ทั้งชายและหญิง
ถ้าพูดพร้อมกันหลายคนใช้ว่า “อนุโมทาม” (อะนุโมทามะ) ประธานในประโยคคือ “มยํ” (มะยัง) แปลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลาย” หรือ “พวกข้าพเจ้า” คำฝรั่งว่า We
(๒) “อนุโมทนา” (อะนุโมทะนา) เป็นคำนาม (noun) บาลีเป็น “อนุโมทน” อ่านว่า อะ-นุ-โม-ทะ-นะ รากศัพท์มาจาก อนุ (คำอุปสรรค = น้อย,ภายหลัง, ตามหลัง, เนืองๆ) + มุทฺ (ธาตุ = ยินดี, ชื่นชม) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แผลง อุ ที่ มุ-(ทฺ) เป็น โอ (มุทฺ > โมท)
: อนุ + มุทฺ = อนุมุทฺ + ยุ > อน = อนุมุทน > อนุโมทน แปลตามศัพท์ในความหมายหนึ่งว่า “การพลอยยินดี”
“อนุโมทน” เป็นรูปนปุงสกลิงค์ ศัพท์นี้ + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ เป็น “อนุโมทนา” ก็มี
“อนุโมทน” หรือ “อนุโมทนา” มีคำขยายความดังนี้ –
(1) “การชื่นชมยินดีภายหลังจากที่มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น”
(2) “การชื่นชมยินดีภายหลังจากที่รู้หรือเห็นคนอื่นทำความดี”
(3) “เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นก่อน รู้สึกชื่นชมยินดีตามหลังมา”
(4) “การชื่นชมยินดีอยู่เสมอ ๆ เมื่อเห็นคนทำดี”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อนุโมทน” ว่า –
“according to taste”, i.e. satisfaction, thanks, esp. after a meal or after receiving gifts = to say grace or benediction, blessing, thanksgiving (“ตามรสนิยม”, คือ ความชื่นชม, การขอบคุณ, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังภัตตาหาร หรือหลังจากที่ได้รับเครื่องไทยทาน = กล่าวอนุโมทนา หรือให้พร, ประสาทพรให้, แสดงความขอบคุณ)
บาลี “อนุโมทน” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อนุโมทนา”
บาลีเป็นคำนาม เอามาใช้ในภาษาไทยเป็นคำกริยา
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อนุโมทนา : (คำกริยา) ยินดีตาม, ยินดีด้วย, พลอยยินดี; เรียกคำให้ศีลให้พรของพระว่า คำอนุโมทนา. (ป., ส.).”
ถ้าจะใช้คำว่า “อนุโมทนา” ในการกล่าวคำอนุโมทนาบุญกับผู้อื่น ก็มีคำประกอบสั้น ๆ ว่า “ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ” “ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ” เท่านี้ก็น่าจะพอ
จะเห็นได้ว่า “อนุโมทามิ” รูปและเสียงใกล้เคียงกับ “อนุโมทนา” คนไม่รู้บาลีอาจเกิดความสับสนและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคำเดียวกัน
“อนุโมทามิ” เป็นคำกริยา
“อนุโมทนา” เป็นคำนาม
“อนุโมทามิ” เป็นคำบาลีประเภทคำกริยา (กิริยา) เป็นภาษาบาลีตรงตัว ตามปกติไม่มีใครพูดในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ก็ไม่ได้เก็บคำนี้ไว้ แต่ผู้ที่รู้บาลีก็สามารถพูดได้
“อนุโมทนา” เป็นคำบาลีประเภทคำนาม เราเอามาใช้พูดในภาษาไทยกันทั่วไป พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ก็เก็บคำนี้ไว้ด้วย คนทั่วไปที่ไม่รู้บาลีเมื่อกล่าวคำอนุโมทนาบุญกับผู้อื่นนิยมใช้คำว่า “อนุโมทนา” คือพูดว่า “ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ” “ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ” หรือจะพูดยักเยื้องเป็นอย่างอื่นก็ได้ เช่น “อนุโมทนาสาธุครับ” “อนุโมทนาสาธุค่ะ” บางคนพูดตัดลัดว่า “โมทนา” สั้น ๆ แค่นี้ก็มี
ถ้าลงท้าย “-มิ” ก็คือ “อนุโมทามิ”
ถ้าลงท้าย “-นา” ก็คือ “อนุโมทนา”
จะใช้คำไหนก็เลือกคำประกอบให้ถูกตามที่ควร
อนึ่ง ขอความกรุณาอย่าใช้คำว่า “อนุโมทนามิ” เพราะเป็นคำอุตริ ไม่มีทั้งในภาษาบาลีและภาษาไทย
…………..
ดูก่อนภราดา!
: พูดผิด ก็อนุโมทนาบุญได้
: แต่อนุโมทนาบุญได้ด้วย พูดถูกด้วย ดีกว่า
#บาลีวันละคำ (4,228)
9-1-67
…………………………….
…………………………….