สกทาคามี (บาลีวันละคำ 772)
สกทาคามี
ไทยและบาลีเขียนเหมือนกัน อ่านว่า สะ-กะ-ทา-คา-มี
คำนี้เป็น “สกิทาคามี” ก็มี (คำหนึ่งเป็น สกทา– คำหนึ่งเป็น สกิทา-)
สกทาคามี หรือ สกิทาคามี รากศัพท์มาจาก สกิ (สะ-กิ) (= ครั้งเดียว) + อา (คำอุปสรรค) + คมฺ (ธาตุ = ไป) + ณี ปัจจัย, ลบ ณ, ลง ท อาคม, ทีฆะต้นธาตุ : ค– > คา–
: สกิ + ท = สกิท + อา = สกิทา + คมฺ = สกิทาคม > สกิทาคาม + ณี > อี = สกิทาคามี
ตามกฎไวยากรณ์ท่านว่า พฤทธิ์ (คือแผลง) อิ ที่ กิ เป็น อ ได้ : สกิ > สก ดังนั้น “สกิทาคามี” จึงเป็น “สกทาคามี” ได้ด้วย
อนึ่ง “อา-” (คำอุปสรรค ดูข้างต้น) มีอำนาจทำให้คำที่ตามหลังกลับความหมาย
ในที่นี้ คำที่ตามหลังคือ “คมฺ” (ธาตุ) แปลว่า “ไป” : อา + คม กลับความหมายกลายเป็น “มา”
สกทาคามี (หรือ สกิทาคามี) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้จะหวนมาอีกครั้งเดียว” (สกิ = ครั้งเดียว, อาคามี = ผู้จะกลับมา) ความหมายเต็มๆ ว่า “ผู้จะมาสู่กามธาตุนี้อีกครั้งเดียว” หรือ “ผู้จะมาสู่มนุษยโลกนี้อีกครั้งเดียว”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สกทาคามี, สกิทาคามี : “ผู้มาสู่กามภพอีกครั้งหนึ่ง” เป็นชื่อพระอริยบุคคลชั้นที่ ๒ ใน ๔ ชั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์, บางทีก็เรียกสั้น ๆ ว่า พระสกทาคา หรือ พระสกิทาคา”
ในบรรดาพระอริยบุคคลทั้ง 4 ชั้น พระสกทาคามี หรือสกิทาคามี ดูจะคุ้นหูคนไทยน้อยกว่าเพื่อน
พระอริยบุคคลชั้นสกทาคามีก็คือพระโสดาบันซึ่งละสังโยชน์ได้ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส (ดูที่ : โสดาบัน) แล้วอบรมจิตให้ละเอียดประณีตสูงขึ้นจนสามารถทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง (พระโสดาบันยังมีราคะ โทสะ โมหะ ใกล้เคียงกับปุถุชน)
ความแตกต่าง :
– พระสกทาคามีจะเกิดอีกเพียงครั้งเดียวแน่นอน เพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงมากแล้ว
– ส่วนพระโสดาบันจะเกิดอีกตั้งแต่ 1 ครั้ง จนถึง 7 ครั้งเป็นอย่างมาก เพราะยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ (มากน้อยต่างกันไปแต่ละบุคคล ถ้าน้อยก็อาจจะเกิดอีกครั้งเดียวเหมือนพระสกทาคามี แต่ถึงจะมีมากอย่างไรก็เกิดอีกไม่เกิน 7 ครั้ง)
ความดี : ทำเต็มๆ ตั้งพันตั้งร้อยก็ยังน้อยเกินไป
ความชั่ว : ทำครั้งเดียวเพียงถากๆ ก็ยังมากเกินไป
—————-
(ตามคำเสนอแนะของ เมธีวุฒินันทน์ ภาณุภัทรธนวัฒน์)
#บาลีวันละคำ (772)
29-6-57