บาลีวันละคำ

เอ้เต (บาลีวันละคำ 1,501)

เอ้เต

อ่านตรงตัวว่า เอ้-เต

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

เอ้เต : (คำวิเศษณ์) นั่งหรือนอนปล่อยตัวตามสบายมีท่าสง่าผ่าเผย.”

พจน.54 ไม่ได้บอกที่ไปที่มาของคำนี้ แต่ผู้เขียนบาลีวันละคำได้ยินมาว่า คำว่า “เอ้เต” มีที่มาจากบทสวดมนต์ชื่อ “อาฏานาฏิยปริตร” ที่ขึ้นต้นว่า “วิปสฺสิสฺส นมตฺถุ จกฺขุมนฺตสฺส สิรีมโต” (วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต)

ท่อนที่ ๒ ของพระปริตรบทนี้ขึ้นต้นว่า “เอเต จญฺเญ จ สมฺพุทฺธา” (เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา) เวลาพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ในงานมงคลต่างๆ ท่านมักตัดลัดมาขึ้นตรงท่อนที่ ๒ นี้

พระภิกษุสมัยก่อนมีอัธยาศัยในการท่องบ่นบทสวดมนต์ให้จำขึ้นใจ (สมัยนี้กางหนังสือสวด) เมื่อมีเวลาว่างท่านก็มักจะทบทวนบทสวดมนต์อยู่เสมอ

ตามปกติเวลาสวดมนต์ต้องครองผ้าเรียบร้อยและนั่งสวดด้วยกิริยาเคารพ แต่ในเวลาทบทวนหรือซ้อมสวดอนุโลมให้ทำตัวตามสบายได้ พระท่านจึงมักนั่งสวดในอิริยาบถผ่อนคลาย บางทีก็กึ่งนั่งกึ่งนอนลักษณะอย่างที่เรียกว่า “นั่งเอกเขนก”

เมื่อนั่งเอกเขนกซ้อมสวดบท “เอเต จัญเญ…” ใครเห็นหรือได้ยินก็พูดกันว่า “นั่งเอ้เต” (เอ– ออกเสียงเป็น เอ้– แบบเดียวกับ เอกา- พูดเป็น เอ้กา-) คือนั่งสวดเอเต แล้วความหมายก็กลายเป็น “นั่งหรือนอนปล่อยตัวตามสบายมีท่าสง่าผ่าเผย” ดังที่ พจน.54 ให้คำจำกัดความไว้

ผู้เขียนบาลีวันละคำยังได้ยิน “นิทานชาววัด” เล่าเสริมเพื่อความครึกครื้นสืบกันมาว่า พระรูปหนึ่งกุฏิอยู่ใกล้สระน้ำ ตอนเย็นๆ ท่านก็ซ้อมบท “เอเต จัญเญ…” ด้วยเสียงอันดังอยู่ในกุฏิ สวดซ้ำอยู่แต่ เอเต จัญเญ ๆ ๆ เพื่อให้คล่องปาก

สีกาคนหนึ่ง ชื่อจัน มาตักน้ำในวัด ได้ยินแต่ เอเต จัญเญ ๆ ๆ ก็เข้าใจว่าพระล้อชื่อตน ล้อไม่หยุดสักที ขัดใจขึ้นมาจึงตะโกนขึ้นว่า “จันพ่อจันแม่นะสิ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำความดี บางทีก็ขัดใจคน

……….

ขออัญเชิญบท “อาฏานาฏิยปริตร” ท่อนที่ขึ้นต้นว่า เอเต จัญเญ บางส่วน ทั้งคำบาลี คำอ่าน และคำแปล มาเสนอไว้ที่นี้เพื่อเป็นการเจริญพุทธานุสติ

อ่านแล้วจะรู้สึกได้ว่านักปราชญ์ท่านพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าไว้ไพเราะเพราะพริ้งยิ่งนัก เพราะเกิดจากน้ำใจที่ผ่องใสอันมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์

ขอชาวเราจงเกิดสติเต็มเปี่ยมในหัวใจเช่นนั้นโดยทั่วกัน เทอญ

……….

เอเต จญฺเญ จ สมฺพุทฺธา…..อเนกสตโกฏโย

(เอเต จัญเญ จะ สัมพุทธา อะเนกะสะตะโกฏะโย)

-พระพุทธเจ้าเหล่านี้ก็ดี เหล่าอื่นก็ดี

ซึ่งนับจำนวนได้หลายร้อยโกฏิ

สพฺเพ พุทฺธา อสมสมา…..สพฺเพ พุทฺธา มหิทฺธิกา

(สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา สัพเพ พุทธา มะหิทธิกา)

-พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผู้ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้า

ผู้ทรงหาใครเสมอมิได้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทรงมีมหิทธิฤทธิ์

สพฺเพ ทสพลูเปตา…..เวสารัชเชหุปาคตา

(สัพเพ ทะสะพะลูเปตา เวสารัชเชหุปาคะตา)

-ทุกๆ พระองค์ทรงประกอบด้วยทศพลญาณ

ทรงประกอบด้วยเวสารัชญาณ

สพฺเพ เต ปฏิชานนฺติ…..อาสภณฺฐานมุตฺตมํ

(สัพเพ เต ปะฏิชานันติ อาสะภัณฐานะมุตตะมัง)

-ทุกๆ พระองค์ทรงปฏิญญาพระองค์ในฐานะผู้มีคุณธรรมอันสูงสุด

สีหนาทํ นทนฺเต เต…..ปริสาสุ วิสารทา

(สีหะนาทัง นะทันเต เต ปะริสาสุ วิสาระทา)

-ทรงเป็นผู้องอาจ บันลือกระแสธรรมท่ามกลางพุทธบริษัท

ดุจราชสีห์บันลือสีหนาท

พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตนฺติ…..โลเก อปฺปฏิวตฺติยํ

(พ๎รัห๎มะจักกัง ปะวัตเตนติ โลเก อัปปะฏิวัตติยัง)

-ยังพรหมจักรให้เป็นไป ไม่มีใครคัดค้านได้ในโลก

อุเปตา พุทฺธธมฺเมหิ…..อฏฺฐารสหิ นายกา

(อุเปตา พุทธะธัมเมหิ อัฏฐาระสะหิ นายะกา)

-ทรงประกอบด้วยพุทธธรรม ๑๘ ประการ

ทรงเป็นผู้นำแห่งชาวโลก

ทฺวตฺตึสลกฺขณูเปตา-…..สีตฺยานุพฺยญฺชนาธรา

(ท๎วัตติงสะลักขะณูเปตา สีต๎ยานุพ๎ยัญชะนาธะรา)

-ทรงประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ

และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ

พฺยามปฺปภาย สุปฺปภา…..สพฺเพ เต มุนิกุญฺชรา

(พ๎ยามัปปะภายะ สุปปะภา สัพเพ เต มุนิกุญชะรา)

-ทรงมีพระรัศมีอันงดงาม แผ่ออกจากพระวรกายโดยรอบข้างละวา

ทุกๆ พระองค์ทรงเป็นพระมุนีผู้ประเสริฐ

พุทฺธา สพฺพญฺญุโน เอเต…..สพฺเพ ขีณาสวา ชินา

(พุทธา สัพพัญญุโน เอเต สัพเพ ขีณาสะวา ชินา)

-ทุกๆ พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญู

เป็นพระชีณาสพ เป็นผู้ชำนะซึ่งพญามาร

มหปฺปภา มหาเตชา…..มหาปญฺญา มหพฺพลา

(มะหัปปะภา มะหะเตชา มะหาปัญญา มะหัพพะลา)

-ทรงมีพระรัศมีและทรงมีพระเดชมาก

ทรงมีพระปัญญาและพระกำลังมาก

มหาการุณิกา ธีรา…..สพฺเพสานํ สุขาวหา

(มะหาการุณิกา ธีรา สัพเพสานัง สุขาวะหา)

-ทรงมีพระมหากรุณา และทรงเป็นจอมปราชญ์

ทรงนำความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งปวง

ทีปา นาถา ปติฏฺฐา จ…..ตาณา เลณา จ ปาณินํ

(ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ ตาณา เลณา จะ ปาณินัง)

-ทรงเป็นดุจเกาะ เป็นดุจที่พึ่ง และเป็นดุจที่พำนักอาศัย

ทรงเป็นดุจที่ต้านทานซึ่งภัยทั้งปวง เป็นดุจที่หลีกเร้นของสัตว์ทั้งหลาย

คตี พนฺธู มหสฺสาสา…..สรณา จ หิเตสิโน

(คะตี พันธู มะหัสสาสา สะระณา จะ หิเตสิโน)

-ทรงเป็นที่ส่งใจถึง ทรงเป็นพวกพ้อง ทรงเป็นที่อุ่นใจอย่างยิ่ง

ทรงเป็นสรณะและเป็นผู้แสวงสิ่งเอื้อเกื้อกูล

สเทวกสฺส โลกสฺส…..สพฺเพ เอเต ปรายนา

(สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ สัพเพ เอเต ปะรายะนา)

-ทุกๆ พระองค์ทรงเป็นที่มุ่งหวังในเบื้องหน้า

แก่ประชาชาวโลกพร้อมทั้งเทวดา

เตสาหํ สิรสา ปาเท…..วนฺทามิ ปุริสุตฺตเม

(เตสาหัง สิระสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตะเม)

-ข้าพระองค์ขอถวายอภิวาทพระบาทยุคล

ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยเศียรเกล้า

วจสา มนสา เจว…..วนฺทาเมเต ตถาคเต

(วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต)

-พร้อมทั้งวาจาและด้วยดวงใจ ขอถวายอภิวาท –

ซึ่งพระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นผู้ทรงเป็นอุดมบุรุษ

สยเน อาสเน ฐาเน…..คมเน จาปิ สพฺพทา

(สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา)

-ขอถวายอภิวาทในกาลทุกเมื่อ

ทั้งยามนอน ยามนั่ง ยามยืน และแม้ในยามเดิน

สทา สุเขน รกฺขนฺตุ…..พุทฺธา สนฺติกรา ตุวํ

(สะทา สุเขนะ รักขันตุ พุทธา สันติกะรา ตุวัง)

-ขอพระพุทธเจ้าผู้ทรงสร้างสันติจงรักษาท่านให้มีความสุข

ตลอดกาลทุกเมื่อเถิด

เตหิ ตฺวํ รกฺขิโต สนฺโต…..มุตฺโต สพฺพภเยน จ

(เตหิ ต๎วัง รักขิโต สันโต มุตโต สัพพะภะเยนะ จะ)

-ท่านเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรักษาแล้ว

จงเป็นผู้พ้นจากภัยทั้งปวง

สพฺพโรควินิมุตฺโต…..สพฺพสนฺตาปวชฺชิโต

(สัพพะโรคะวินิมุตโต สัพพะสันตาปะวัชชิโต)

-พ้นจากโรคทั้งปวง

หายจากความเดือดร้อนทั้งปวง

สพฺพเวรมติกฺกนฺโต…..นิพพฺโต จ ตุวํ ภว.

(สัพพะเวระมะติกกันโต นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ)

-ล่วงเสียซึ่งเวรทั้งปวง

และดับทุกข์ทั้งปวงได้ เทอญ.

……….

หมายเหตุ : บทสวดและคำแปลคัดมาจาก -http://www.watpamahachai.net/watpamahachai-68_11.htm

คำแปลนั้นไม่ทราบว่าเป็นสำนวนแปลของท่านผู้ใด ผู้เขียนบาลีวันละคำขออนุญาตปรับแต่งบ้างเล็กน้อยเพื่อให้กะทัดรัดชัดเจนขึ้น ผู้ต้องการอ่านบทเต็มๆ เชิญตามไปอ่านได้ตามอัธยาศัย

……..

ดูก่อนภราดา!

นอนสวดมนต์เป็นกิริยาที่ผู้หนักในธรรมไม่พึงกระทำ

แต่กระนั้น –

: นอนสวดมนต์

: ก็ยังดีกว่าลุกขึ้นไปปล้นเขากิน

14-7-59

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย