บาลีวันละคำ

ปิฎกสัมปทาน (บาลีวันละคำ 2486)

ปิฎกสัมปทาน

ข้อ 4 ในกาลามสูตร: อ้างตำรา

อ่านตามหลักภาษาว่า ปิ-ดก-กะ-สำ-ปะ-ทาน

อ่านตามสะดวกปากว่า ปิ-ดก-สำ-ปะ-ทาน

(ภาษาไทย: ปิฎก- ฎ ชฎา ไม่ใช่ ฏ ปฏัก)

หลักข้อที่ 4 ในกาลามสูตร มีข้อความที่เป็นภาษาบาลีว่า “มา ปิฏกสมฺปทาเนน” เขียนเป็นคำอ่านว่า มา ปิฏะกะสัมปะทาเนนะ

(ภาษาบาลี: ปิฏก- ปฏัก ไม่ใช่ ชฎา)

แปลว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือโดยการอ้างตำรา

ปิฏกสมฺปทาเนน” (ปิ-ตะ-กะ-สำ-ปะ-ทา-เน-นะ) รูปคำเดิมคือ “ปิฏกสมฺปทาน” (ปิ-ตะ-กะ-สำ-ปะ-ทา-นะ) ประกอบด้วยคำว่า ปิฏก + สมฺปทาน

(๑) “ปิฏก” (ปิ-ตะ-กะ)

บาลีเป็น “ปิฏก” (บาลี ปฏัก) รากศัพท์มาจาก ปิฏฺ (ธาตุ = รวบรวม; เบียดเบียน; ส่งเสียง) + ณฺวุ ปัจจัย, แปลง ณฺวุ เป็น อก (อะ-กะ)

: ปิฏฺ + ณฺวุ > อก = ปิฏก แปลตามศัพท์ว่า –

(1) “ภาชนะที่รวมข้าวสารเป็นต้นไว้

(2) “ภาชนะอันเขาเบียดเบียน

(3) “หมู่ธรรมเป็นที่อันเขารวบรวมเนื้อความนั้นๆ ไว้

(4) “หมู่ธรรมอันเขาส่งเสียง” (คือถูกนำออกมาท่องบ่น)

ปิฏก” มีความหมาย 2 อย่าง คือ –

(1) (ปุงลิงค์) (นปุงสกลิงค์) ตะกร้า, กระจาด, กระบุง (a basket)

(2) (นปุงสกลิงค์) ตำรา, หมวดคำสอนในพระพุทธศาสนา (a scripture, any of the three main divisions of the Pāli Canon)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

ปิฎก : (คำนาม) ตะกร้า; หมวดแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนา. (ป., ส. ปิฏก).”

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ดังนี้ –

ปิฎก (Piṭaka) : a basket; any of the three main divisions of the Pāli Canon.

(๒) “สมฺปทาน” (สำ-ปะ-ทา-นะ)

รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) + (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ข้างหน้า, ก่อน, ออก) + ทา (ธาตุ = ให้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น มฺ (สํ > สมฺ)

: สํ > สมฺ + = สมฺป + ทา = สมฺปทา + ยุ > อน = สมฺปทาน แปลตามศัพท์ว่า “การให้อย่างทั่วถึงพร้อมกัน

สมฺปทาน” ในบาลีใช้ในความหมายว่า –

(1) การให้, การมอบให้ (giving, bestowing)

(2) การบรรลุ, ลักษณะ, คุณสมบัติ (attainment, characteristic, attribute)

สมฺปทาน” เมื่อขยายความ มีความหมายหลายนัย เฉพาะนัยที่เด่น คือ –

(1) มีการมอบ (สิทธิ, ผลประโยชน์ตอบแทน ฯลฯ) ให้แก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่า “สมฺปทาน” = ผู้ได้รับมอบ

(2) การมอบ (สิทธิ, ผลประโยชน์ตอบแทน ฯลฯ) กระทำในที่ใด ที่นั้นชื่อว่า “สมฺปทาน” = ที่เป็นที่มอบให้ (ซึ่งสิทธิ, ผลประโยชน์ตอบแทน ฯลฯ)

(3) ในทางไวยากรณ์ ตามหลักวากยสัมพันธ์ (วิชาว่าด้วยการเกี่ยวข้องและหน้าที่ของคำในประโยค) คำนามที่แจกรูปด้วยวิภัตติที่สี่ (จตุตถีวิภัตติ) มีคำแปลว่า แก่เพื่อต่อ– ให้เรียกชื่อวากยสัมพันธ์ว่า “สมฺปทาน” (อ่านว่า สำ-ปะ-ทา-นะ)

สมฺปทาน” ใช้ในภาษาไทยเป็น “สัมปทาน

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

สัมปทาน : (คำที่ใช้ในกฎหมาย) (คำนาม) การอนุญาตที่รัฐให้แก่เอกชนเพื่อจัดทำบริการสาธารณะหรือจัดทำประโยชน์ หรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ภายในระยะเวลาและตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนด เช่น สัมปทานการเดินรถประจำทาง สัมปทานทำไม้ในป่าสัมปทาน. (ป.).”

ปิฏก + สมฺปทาน = ปิฏกสมฺปทาน (ปิ-ตะ-กะ-สำ-ปะ-ทา-นะ) แปลว่า “การมอบให้แก่ตำรา” หรือ “การมอบให้แก่คัมภีร์” หมายถึง การมอบความน่าเชื่อถือ หรือมอบความไว้วางใจให้แก่ตำรา เรียกสั้นๆ ว่า “อ้างตำรา

ปิฏกสมฺปทาน” แจกด้วยวิภัตตินามที่สาม (ตติยาวิภัตติ) เอกพจน์ เปลี่ยนรูปเป็น “ปิฏกสมฺปทาเนน” (ปิ-ตะ-กะ-สำ-ปะ-ทา-เน-นะ)

คัมภีร์อรรถกถาขยายความคำว่า “มา ปิฏกสมฺปทาเนน” ว่า “อมฺหากํ  ปิฏกตนฺติยา  สทฺธึ  สเมตีติปิ  มา  คณฺหิตฺถ” (มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย ภาค 2 หน้า 299)

แปลว่า: อย่าเชื่อถือโดยอ้างว่า-เรื่องนี้ตรงกันกับหลักในตำราของเรา

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [317] แปล “มา ปิฏกสมฺปทาเนน” เป็นไทยว่า “อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์” และแปลเป็นอังกฤษว่า Be not led by the authority of texts.

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ปิฏกสมฺปทาเนน” ว่า according to the Piṭaka tradition or on the ground of the authority of the Piṭaka. (ตามที่ฟังมาจากปิฎก หรือเนื่องจากปิฎกบัญญัติไว้)

อภิปราย :

คนที่ฟังไม่ได้ศัพท์มักเอากาลามสูตรข้อนี้ไปพูดว่า “กาลามสูตรสอนไม่ให้เชื่อตำรา

กาลามสูตรไม่ได้สอนไม่ให้เชื่อตำรา แต่สอนว่า-อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา หรือโดยการมอบความไว้วางใจให้แก่ตำรา

เชื่อตำรา” กับ “เชื่อโดยการอ้างตำรา” มีความหมายต่างกัน

เชื่อตำรา” ก็อย่างเช่น-เชื่อว่าตำราของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เชื่อถือได้ (ถ้าเป็นตำราของมหาวิทยาลัยแห่งอื่นอาจเชื่อถือไม่ได้) ตำราของอาจารย์คนนี้เชื่อถือได้ (ถ้าเป็นตำราของอาจารย์คนอื่นอาจเชื่อถือไม่ได้) – นี่คือ “เชื่อตำรา

ส่วน “เชื่อโดยการอ้างตำรา” หมายถึง ถ้าเรื่องนั้นๆ เป็นแต่เพียงมีคนพูดให้ฟังหรือบอกกันต่อๆ มา หรือแค่หนังสือพิมพ์ลงข่าวหรือวิทยุออกข่าว ก็จะไม่เชื่อหรอก แต่นี่มีเขียนไว้ในตำรา (จะเป็นตำราของสำนักไหนหรือใครเขียนก็ช่างเถิด) จึงต้องเชื่อ – นี่คือ “เชื่อโดยการอ้างตำรา” คือเชื่อโดยการมอบความไว้วางใจให้แก่ตำรา

กาลามาสูตรสอนไม่ให้เชื่อโดยการอ้างตำราแบบนี้ ทั้งนี้เพราะเรื่องที่เขียนไว้เป็นตำราไม่อาจรับประกันได้เสมอไปว่าถูกต้อง ตำราที่เขียนไว้ผิดๆ ก็มี

อนึ่ง พึงสังเกตว่า กาลามสูตรข้อนี้ท่านใช้คำว่า “ปิฎก” ซึ่งหมายถึงตำราหรือคัมภีร์ทั่วไป ไม่ใช่ “ไตรปิฎก” เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรเอาไปพูดเจาะจงว่า “กาลามสูตรสอนไม่ให้เชื่อพระไตรปิฎก” การพูดเช่นนี้ผิดพลาดถึง 2 ชั้น

(๑) “สอนไม่ให้เชื่อพระไตรปิฎก” ก็ผิดแล้ว ท่านว่า “ปิฎก” เอาไปพูดเป็น “ไตรปิฎก

(๒) ท่านว่า “สอนไม่ให้เชื่อโดยอ้างปิฎก” เอาไปพูดเป็น “สอนไม่ให้เชื่อพระไตรปิฎก” ผิดความหมายและผิดความมุ่งหมาย กลายเป็นคนละเรื่องไป

ถ้าพูดว่า “สอนไม่ให้เชื่อโดยอ้างพระไตรปิฎก” ย่อมฟังได้ เพราะพระไตรปิฎกอยู่ในฐานะเป็น “ตำรา” ชนิดหนึ่งด้วยเช่นกัน หมายความว่า อย่าอ้างว่า “เพราะเรื่องนี้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก จึงต้องเชื่อ”

ถ้าจะเชื่อ ต้องเชื่อเพราะได้พิจารณาด้วยสติปัญญาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า-เห็นเรื่องอะไรมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเป็นเชื่อหมด

…………..

ดูก่อนภราดา!

: ตำราทำได้แค่บอกวิธี

: ชั่วดีเราต้องทำเอง

#บาลีวันละคำ (2,486)

3-4-62

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *