อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ (บาลีวันละคำ 1,600)
อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ
สร้อยพระปรมาภิไธยที่มีนัยน่าพิศวง
อ่านว่า อะ-เหฺนก-กะ-ชน-นิ-กอน-สะ-โม-สอน-สม-มด
ประกอบด้วย อเนก + ชน + นิกร + สโมสร + สมมติ
(๑) “อเนก”
ประสมขึ้นจากคำว่า น + เอก
น (นะ) แปลว่า “ไม่ใช่”
เอก (เอ-กะ) แปลว่า “หนึ่ง” (จำนวน 1)
ตามกฎไวยากรณ์บาลี ถ้าพยางค์แรกของคำที่ “น” ไปประสมด้วย ขึ้นต้นด้วย “อ” คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ท่านให้แปลง “น” เป็น “อน” (อะ-นะ)
น + เอก จึงเท่ากับ อน + เอก
อ อ่าง ที่ “เอก” ตามหลักบาลีถือว่าไม่มีรูป คือ = เ–ก
จึงเท่ากับ อน + เ–ก = อเนก
อเนก แปลตามศัพท์ว่า “ไม่ใช่หนึ่ง” หมายถึง “มีจำนวนมากหลาย” (not one, many, various; countless) เอามาใช้ในภาษาไทยออกเสียงว่า อะ-เหฺนก
(๒) “ชน”
บาลีอ่านว่า ชะ-นะ หมายถึง คน, ประชาชน, สัตว์, ผู้เกิด บางทีก็ใช้ทับศัพท์ว่า ชน (a creature, living being)
“ชน” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ยังกุศลหรืออกุศลให้เกิดได้” เป็นคำแปลที่ตรงตามสัจธรรมอีกเช่นกัน เพราะธรรมดาของคน ดีก็ทำได้ ชั่วก็ทำได้
(๓) “นิกร”
บาลีอ่านว่า นิ-กะ-ระ แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ทำส่วนย่อยให้อยู่ใกล้กัน” คือเอาส่วนย่อยหลายๆ ส่วนมาอยู่รวมกัน = ฝูง, กลุ่ม, หมู่, พวก, ประชุมชน, มหาชน (a multitude)
(๔) “สโมสร”
บาลีอ่านว่า สะ-โม-สะ-ระ แปลตามศัพท์ว่า “ไปรวมกัน” หมายถึง การสโมสร, การประชุม, การรวมกัน, การบรรจบกัน (coming together, meeting, union, junction)
(๕) “สมมติ”
บาลีเป็น “สมฺมติ” อ่านว่า สำ-มะ-ติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้พร้อมกัน” คือ รับรู้ร่วมกัน, ยอมรับร่วมกัน (authorized, selected, agreed upon)
การประกอบคำ :
(1) อเนก + ชน = อเนกชน แปลว่า คนเป็นอันมาก
(2) อเนกชน + นิกร = อเนกชนนิกร แปลว่า หมู่ชนเป็นอันมาก
(3) อเนกชนนิกร + สโมสร = อเนกชนนิกรสโมสร แปลว่า ที่ชุมนุมแห่งหมู่ชนเป็นอันมาก, หมู่ชนเป็นอันมากที่ชุมนุมกัน
(4) อเนกชนนิกรสโมสร + สมมติ = อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ แปลว่า การตกลงยินยอมของหมู่ชนเป็นอันมากที่ชุมนุมกัน, หมู่ชนเป็นอันมากชุมนุมกันเพื่อการตกลงยินยอม
“อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” นิยมใช้เป็นสร้อยพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ในสมัยเก่าก่อน
“อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” แปลได้ความทั้งสองทาง :
(1) แปลจากหลังมาหน้า : ผู้ที่ได้รับการยอมยกให้เป็น..โดยที่ชุมนุมแห่งหมู่ชนเป็นอันมาก
(2) แปลจากหน้าไปหลัง : ผู้ที่หมู่ชนเป็นอันมากชุมนุมกันยอมยกให้เป็น..
“อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” ตีความได้ทั้งสองสมัย :
(1) สมัยราชาธิปไตย : มีความหมายว่า ผู้ที่พสกนิกรชื่นชมยินดีอัญเชิญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
(2) สมัยประชาธิปไตย : มีความหมายว่า ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
จะตีความตามสมัยไหนย่อมขึ้นอยู่กับกาลเทศะ รู้การควรไม่ควร
……………
: เรื่องจริงไม่อาจเป็นเรื่องสมมติ
: แต่เรื่องสมมติอาจเป็นเรื่องจริง
21-10-59