ขัตติยมานะ (บาลีวันละคำ 1,673)
ขัตติยมานะ
อ่านว่า ขัด-ติ-ยะ-มา-นะ
ประกอบด้วย ขัตติย + มานะ
(๑) “ขัตติย”
บาลีเขียน “ขตฺติย” (ขัด-ติ-ยะ) รากศัพท์มาจาก –
1) ขตฺต (ขัด-ตะ = ผู้ป้องกันเขตแคว้น) + อิย ปัจจัย ( = ผู้เกิด, ผู้เป็นเชื้อสาย)
: ขตฺต + อิย = ขตฺติย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เกิดในตระกูลของผู้ป้องกันเขตแคว้น”
2) เขตฺต (เขด-ตะ = นา) + อิย ปัจจัย ( = ผู้เป็นใหญ่), ลบ เอ ที่ เขตฺต (เขตฺต > ขตฺต)
: เขตฺต + อิย = เขตฺติย > ขตฺติย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เป็นเจ้าของนา” “ผู้เป็นใหญ่ของพวกชาวนา”
ขตฺติย สันสกฤตเป็น “กฺษตฺริย” เราเขียนตามรูปสันสกฤตเป็น “กษัตริย์” (กะ-สัด)
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
“กฺษตฺริย : (คำนาม) ‘กษัตริย,’ นรหรือสตรีชาตินักรบ; a man or woman of the military tribe.”
คำนี้มีปฐมเหตุจากการตั้งชุมชนของมนุษย์แต่ดึกดำบรรพ์ ที่ต้องอาศัยพื้นที่เพื่อการเพาะปลูก เมื่อถูกมนุษย์พวกอื่นรบกวน ต้องมีคนที่คอยป้องกันเพื่อให้ชุมชนเพาะปลูกได้อย่างปลอดภัย
จึงเรียกคนที่ทำหน้าที่ป้องกันนี้ว่า “ขตฺติย – กษัตริย์ – ผู้เป็นใหญ่แห่งนา” ในความหมายดั้งเดิมคือ “ผู้ทำหน้าที่ปกป้องที่นาให้พ้นจากการรุกราน เพื่อให้คนอื่นๆ ทำนาได้อย่างสะดวกปลอดภัย”
ในการทำหน้าที่ปกป้องนี้ย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องต่อสู้กับศัตรู ดังนั้น “ขตฺติย – กษัตริย์” จึงมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า “สายเลือดนักรบ”
ในภาษาบาลี ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ขตฺติย” ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (the king) เสมอไป ถ้าเทียบในภาษาไทย “ขตฺติย” ก็ตรงกับคำที่เราเรียกท่านผู้กำเนิดในสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า “เจ้านาย” นั่นเอง
(๒) “มานะ”
บาลีเขียน “มาน” (มา-นะ) รากศัพท์มาจาก –
(1) มานฺ (ธาตุ = บูชา) + อ ปัจจัย
: มานฺ + อ = มาน แปลตามศัพท์ว่า “อาการที่ให้เขาบูชา” คือต้องการให้เขานับถือ
(2) มนฺ (ธาตุ = รู้) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ยืดเสียง อ ต้นธาตุเป็น อา (มนฺ > มาน)
: มน + ณ = มนณ > มน > มาน แปลตามศัพท์ว่า “อาการที่สำคัญตนว่าดีกว่าเขาเป็นต้น”
“มาน” (ปุงลิงค์) หมายถึง ความถือตัว, ความหยิ่ง, ความยโส (pride, conceit, arrogance) (ดูเพิ่มเติมที่ มาน : บาลีวันละคำ (87) 3-8-55)
ในภาษาไทย “มานะ” มีความหมายเพี้ยนไปเป็นว่า เพียรพยายาม ขยันมุ่งมั่น เช่นในคำว่า มานะพากเพียร มุมานะ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มานะ ๒ : (คำนาม) ความพยายาม, ความตั้งใจจริง, ความพากเพียร, เช่น มีมานะอดทน มีมานะในการทำงาน; ความถือตัว”
ขตฺติย + มาน = ขตฺติยมาน แปลตามศัพท์ว่า (1) “การถือตัวว่าเราเป็นกษัตริย์” (2) “มานะการของกษัตริย์”
“ขตฺติยมาน” เป็นคำที่มีใช้ในคัมภีร์บาลี เขียนแบบไทยเป็น “ขัตติยมานะ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายในภาษาไทย ไว้ว่า –
“ขัตติยมานะ : (คำนาม) การถือตัวว่าเป็นกษัตริย์หรือเชื้อสายกษัตริย์.”
อภิปราย :
“ขัตติยมานะ” ตามความหมายในบาลี บ่งถึงการถือชั้นวรรณะตามระบบวรรณะ (caste-system) ของสังคมชาวชมพูทวีป คือชนชั้นสูงรังเกียจชนชั้นที่ต่ำกว่า ไม่แต่งงานด้วยและไม่ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันร่วมกัน โดยเฉพาะชั้นกษัตริย์ถือตัวว่าเป็นชนชั้นสูง คบค้าสมาคมอยู่แต่ในวรรณะของตน บางทีแม้เป็นชั้นกษัตริย์เหมือนกัน แต่ต่างวงศ์ ก็รังเกียจกัน
“ขัตติยมานะ” อาจมีความหมายได้ทั้งทางลบและทางบวก
– ทางลบ คือความรู้สึกรังเกียจผู้ที่ต่ำกว่า กลายเป็นการแบ่งชั้นวรรณะ ดูหมิ่นผู้อื่น หรืออาจถึงกับกดข่มคนอื่นเป็นการเพิ่มความชิงชังขึ้นไปอีก และอาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ความพินาศของตนเองได้ ดังเรื่องขัตติยมานะของกษัตริย์วงศ์ศากยะเป็นเหตุให้ถูกฆ่าจนสูญสิ้นวงศ์ในที่สุด
– ทางบวก คือในกรณีที่ชนชั้นสูงบางคนรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่นิยมของสังคม ก็อาจใช้ “ขัตติยมานะ” หรือเรียกเป็นภาษาปากว่า “ฮึดสู้” คือตั้งใจประกอบกรณีย์ด้วยความมุ่งมั่นว่าเราก็เกิดมาในตระกูลสูง ไฉนจะยอมแพ้ง่ายๆ แล้วอุตสาหะมุมานะสร้างสมเพิ่มพูนคุณความดีจนถึงที่สุด สามารถเอาชนะใจประชาชนได้อย่างสง่างามสมภาคภูมิ
…………..
แถม : “ขัตติยมานะ” ในภาษาไทยระวังอย่าใส่สระ อะ กลางคำเป็น “ขัตติยะมานะ”
ผิดนะ-จะบอกให้
…………..
ดูก่อนภราดา!
: คนเขลา ใช้มานะเพื่อเอาชนะคนอื่นอย่างผิดๆ
: บัณฑิต ใช้มานะเพื่อเอาชนะใจตัวเอง
2-1-60