จากศรีสัตนาคนหุต ถึงกุดลิง (บาลีวันละคำ 938)
จากศรีสัตนาคนหุต ถึงกุดลิง
มีญาติมิตรขอแรงให้แปลชื่อเมือง “ศรีสัตนาคนหุต”
ข้อมูลที่พอทราบกันอยู่คือ คำว่า “ศรีสัตนาคนหุต” เป็นชื่อเรียกเมือง “ล้านช้าง”
“ศรีสัตนาคนหุต” แยกคำได้ว่า ศรี + สัต + นาค + นหุต
(๑) ศรี บาลีเป็น “สิริ” อ่านว่า สิ-ริ และเป็น “สิรี” (สิ-รี) ก็มี
“สิริ” แปลตามรากศัพท์ว่า “สิ่งอันผู้ทำความดีไว้ได้สัมผัส” หรือ “สิ่งที่อาศัยอยู่ในบุคคลผู้ทำความดีไว้”
“สิริ” ในภาษาไทยนิยมออกเสียงว่า สิ-หฺริ รูปสันสกฤตเป็น “ศรี” (สี)
“สิริ – ศรี” มีความหมายว่า มิ่ง, สิริมงคล, ความรุ่งเรือง, ความสว่างสุกใส, ความงาม, ความเจริญ, โชค, ความมีเดช, ความรุ่งเรือง และเป็นนามของเทพธิดาแห่งโชคลาภ (splendour, beauty, luck, glory, majesty, prosperity)
ในที่นี้ใช้เป็นคำนำหน้าชื่อเพื่อแสดงความยกย่องชื่นชมด้วยความภาคภูมิใจ
(๒) สต บาลีอ่านว่า สะ-ตะ แปลว่า ร้อย (จำนวน 100)
คำนี้เมือใช้ในภาษาไทยอาจสับสนกับ “สต” ที่ลบอักษรหรือลดรูปมาจาก “สตฺต” (สัด-ตะ) ที่แปลว่า เจ็ด (จำนวน 7) ทั้งนี้เพราะ สตฺต (7) ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนอกจากเขียนเป็น “สัตตะ” แล้วยังเขียนเป็น “สัต” ซึ่งสะกดเหมือนกันกับชื่อ “ศรีสัตนาคนหุต” นี้เองด้วย
ดังนั้น ถ้าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับภูมิประวัติที่ชัดเจน ก็เป็นทางให้ถกเถียงโต้แย้งกันได้มาก เช่นชื่ออำเภอ “สัตหีบ” ที่แปลตามความเข้าใจของคนส่วนหนึ่งว่าหมายถึง “หีบเจ็ดใบ” ก็อาจจะหมายถึง “หีบหนึ่งร้อยใบ” ได้ด้วยเช่นกัน
(๓) นาค (นา-คะ) แปลได้หลายความหมาย แต่เฉพาะในคำนี้ “นาค” แปลว่า ช้าง ความหมายนี้แปลตามรากศัพท์ว่า “สัตว์ที่มองเห็นเป็นเหมือนภูเขา”
(๔) นหุต อ่านว่า นะ-หุด บาลีอ่านว่า นะ-หุ-ตะ แปลว่า หมื่น (จำนวน 10,000)
สต + นาค + นหุต = สตนาคนหุต > สัตนาคนหุต แปลตามสำนวนนิยมของบาลีว่า “หมื่นแห่งช้างหนึ่งร้อย” = ช้างร้อยหมื่น= ช้างหนึ่งล้าน = ล้านช้าง
ข้อที่น่าศึกษาสืบค้นก็คือ ชื่อ “ศรีสัตนาคนหุต” นี้เป็นชื่อที่ชาวล้านช้างเรียกเมืองของตัวเองมาแต่เดิม หรือว่าเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นในภายหลัง ถ้าตั้งในภายหลัง ชาวล้านช้างตั้งเองหรือคนภายนอกตั้งให้
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า แปลงชื่อ “ล้านช้าง” ให้เป็นคำบาลีสันสกตแบบเดียวกับชื่อเมืองเพราะๆ ในภาคอีสานของเราที่แปลงมาจากชื่อเดิมที่ชาวบ้านเรียกกัน-เช่นนั้นใช่หรือไม่
ตัวอย่างเช่นชื่อ “วานรนิวาส”
“วานรนิวาส” เป็นชื่ออำเภอหนึ่งในจังหวัดสกลนคร เดิมเป็นหมู่บ้าน เรียกว่า บ้าน “กุดลิง” แขวงเมืองยโสธร
ในรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านกุดลิงขึ้นเป็นเมืองวานรนิวาส เมื่อ พ.ศ. 2404
คำว่า “กุด” แปลว่า ด้วน สั้น หรือเหี้ยนเข้าไป ทางภาคอีสานหมายถึงลํานํ้าที่ปลายด้วน คือไม่มีทางไหลต่อไป (เทียบได้กับซอยตัน) บริเวณลำน้ำด้วนแห่งนี้มีลิงชุกชุม ชาวบ้านจึงเรียกลำน้ำนั้นว่า “กุดลิง”
นักบาลีเอาเสียง “กุด” มาแปลงคำเป็น “กุฏิ”
“กุฏิ” บาลีอ่านว่า กุ-ติ ไทยเอามาใช้ อ่านว่า กุด (ที่อ่านว่า กุ-ติ ก็มี)
“กุฏิ” แปลว่า กระท่อมเล็กๆ ในภาษาไทยเข้าใจกันว่าเป็นที่อาศัยของภิกษุ แต่ความหมายโดยนัยก็คือ “ที่พักอาศัย”
จาก “กุดลิง” = ลำน้ำปลายด้วนที่ลิงชุกชุม
แปลงเป็น “กุฏิลิง” = กระท่อมของลิง
แล้วก็กลายรูปงามหรูเป็น “วานรนิวาส” = ที่อยู่อาศัยของลิง
ไม่เหลือร่องรอยของ “กุด” = ลำน้ำปลายด้วน อีกเลย
: แต่ชื่อบ้านเขายังแกล้งมาแปลงกล
: นี่หรือคนจะมิแกล้งมาแปลงใจ
————
(ขยายความจากคำถามของคุณครู Niwat Nangkasem)
#บาลีวันละคำ (938)
12-12-57