นาคร (บาลีวันละคำ 1,972)
นาคร
ภาษาไทยอ่านว่า นา-คอน
บาลีอ่านว่า นา-คะ-ระ
“นาคร” คำเดิมมาจาก นคร + ณ ปัจจัย
(๑) “นคร” (นะ-คะ-ระ) รากศัพท์มาจาก –
(1) นค (อาคารสูง เช่นปราสาท) + ร ปัจจัย
: นค + ร = นคร แปลตามศัพท์ว่า “ที่ที่มีปราสาทเป็นต้น”
(2) น (แทนศัพท์ “ธนธญฺญาทิสมฺปุณฺณ” = สมบูรณ์ด้วยทรัพย์และ ข้าวเปลือกเป็นต้น หมายถึงเครื่องอุปโภคบริโภคมีบริบูรณ์) + ฆร (บ้านเรือน), แปลง ฆ เป็น ค
: น + ฆร = นฆร > นคร แปลตามศัพท์ว่า “ที่ซึ่งบ้านเรือนบริบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค”
(3) นค (อาคารสูง เช่นปราสาท) + รา (ธาตุ = ถือเอา) + อ ปัจจัย, ลบสระที่สุดธาตุ (รา > ร)
: นค + รา = นครา > นคร + อ = นคร แปลตามศัพท์ว่า “ที่ที่ถือเอาซึ่งสิ่งปลูกสร้างที่สูง” (คือมีสิ่งปลูกสร้างสูงๆ)
“นคร” (นปุงสกลิงค์) ความหมายเดิมในบาลีหมายถึง ป้อม, ที่มั่น, ป้อมปราการ (a stronghold, citadel, fortress) ต่อมาจึงหมายถึง นครหรือเมือง (ที่มีป้อมค่าย) (a [fortified] town, city)
“นคร” เป็นทั้งรูปบาลีและสันสกฤต
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกความหมายของ “นคร” ไว้ดังนี้ –
“นคร : (คำนาม) ‘นคร,’ บุรี, กรุง, เมืองเอก, ‘เมืองใหญ่หรือราชธานี;’ a town, a city, a capital or metropolis.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“นคร, นคร– : (คำนาม) เมืองใหญ่, กรุง. (ป., ส.).”
(๒) นคร + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะต้นศัพท์ คือ อะ ที่ น-(คร) เป็น อา “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” (นคร > นาคร)
: นคร + ณ = นครณ > นคร > นาคร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้เกิดในเมือง” “ผู้อยู่ในเมือง” หมายถึง ชาวนคร, ชาวเมือง (a citizen, townsfolk)
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกความหมายของ “นาคร” ไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“นาคร : (คำวิเศษณ์) ฉลาด, แหลมคม, รอบรู้, เกิดในกรุงหรือได้รับการอบรมในกรุง; นามหีน, อนามก, ไม่มีชื่อ; ชั่ว, ถ่อย; clever, sharp, knowing; town-born or town-bred; nameless; bad, vile; – (คำนาม) นคร, กรุง; นครชน, ปุรวาสิน, ชาวกรุง; ขิงแห้ง; เลขยรูป, อักษรเทวนาครี; ภาตฤของวามิน; ส้ม; ปาฐก, อัธยายก, อุปเทศก, ผู้แสดงศาสน์หรือประปาฐะ; การประติเษธความรู้ ( =ประติเสธว่าไม่รู้); ความเหนื่อย; ความปรารถนาปรมคติหรือนิรวาณ; หญิงเจ้าเล่ห์หรือเสเพล, นางตัวเอ้, ‘นางแม่แปรด’ ก็ใช้; a city; a citizen; dry ginger; a form of writing, the Devanāgarī alphabet; a husband’s brother; an orange; a lecturer; denial of knowledge; fatigue; desire of final beatitude; a clever woman; an intriguing one.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“นาคร : (คำนาม) ชาวนคร, ชาวกรุง. (ป., ส.).”
ในภาษาบาลี คำตรงข้ามกับ “นาคร” คือ “ชานปท” (ชา-นะ-ปะ-ทะ) มาจากคำว่า “ชนปท” (ชะ-นะ-ปะ-ทะ) = ชนบท, บ้านนอก (inhabited country, the country)
ชนปท > ชานปท หมายถึง เป็นของชนบท, อยู่ในชนบท (belonging to the country, living in the country); ชาวบ้านนอก (country-folk)
…………..
อภิปราย :
“นาคร – ชาวกรุง” หมายถึงผู้ที่เจริญแล้ว คุณสมบัติที่แสดงถึงความเจริญแล้วควรอธิบายด้วยหลักธรรมในคันธารชาดกตามพุทธภาษิตที่ว่า –
โน เจ อสฺส สกา พุทฺธิ
วินโย วา สุสิกฺขิโต
วเน อนฺธมหึโสว
จเรยฺย พหุโก ชโน.
ที่มา: คันธารชาดก สัตตกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม 27 ข้อ 1048
กล่าวคือ นาคร-ชาวกรุงควรมีคุณสมบัติพื้นฐาน 2 ประการ คือ
๑ สกา พุทฺธิ = สติปัญญา ความรู้ความสามารถอันคู่ควรแก่สถานะหน้าที่ในสังคม (ไม่ใช่ประเภท-มีตำแหน่งฐานะสูง แต่โง่เขลาเบาปัญญา)
๒ สุสิกฺขิตวินโย = ฝึกฝนอบรมตนเองให้อยู่ในระเบียบวินัย กฎกติกามารยาท รู้จักผิดชอบชั่วดี มีสำนึกที่ดีว่าอะไรควรไม่ควร เว้นการควรเว้น ประพฤติการควรประพฤติ
พุทธภาษิตข้างต้นนั้นแปลตามสำนวนผู้เขียนบาลีวันละคำว่า –
สำนึกที่จะทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องก็ไม่มี
กติกามารยาทที่ดีก็ไม่ได้รับการสั่งสอนอบรม
ถ้าเป็นอย่างนี้ สังคมก็ไม่ผิดอะไรกับควายป่าตาบอด
…………..
ดูก่อนภราดา!
: คนเมืองที่สำนึกชั่วดีดับมอด
: จะต่างอะไรกับกระบือบอดที่เบิ่งบ้าในอยู่ป่าดง
#บาลีวันละคำ (1,972)
2-11-60