เข้าฌาน ไม่ใช่ เข้าญาณ (บาลีวันละคำ 2,371)
เข้าฌาน ไม่ใช่ เข้าญาณ
ถ้าพูดว่า “พระฤๅษีนั่งเข้า–” แล้วให้ต่อ-ว่าเข้าอะไร คนมักจะพูดและเขียนว่า “เข้าญาณ”
“เข้าญาณ” (ญาณ – ญ หญิง สระอา ณ เณร) เป็นคำพูดที่ผิด
คำที่ถูกคือ “เข้าฌาน” (ฌาน – ฌ เฌอ สระอา น หนู)
“พระฤๅษีนั่งเข้าฌาน”
ไม่ใช่ “พระฤๅษีนั่งเข้าญาณ”
คนที่พูดหรือเขียนว่า “พระฤๅษีนั่งเข้าญาณ” ซึ่งเป็นคำที่ผิด ก็เพราะไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า “ฌาน” กับ “ญาณ”
(๑) “ฌาน”
บาลีอ่านว่า ชา-นะ รากศัพท์มาจาก –
(1) เฌ (ธาตุ = คิด) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะนะ), แปลง เฌ เป็น ฌา
: เฌ + ยุ > อน = เฌน > ฌาน แปลตามศัพท์ว่า “ความคิด”
(2) ฌาปฺ (ธาตุ = เผา, ทำให้ไหม้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะนะ), ลบที่สุดธาตุ (ฌาปฺ > ฌา)
: ฌาปฺ + ยุ > อน = ฌาปน > ฌาน แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมชาตที่เผาข้าศึกคือนิวรณ์”
“ฌาน” หมายถึง ความคิด, ความเพ่ง (ซึ่งเมื่อมีกำลังเต็มที่จะมีพลังเหมือนไฟที่สามารถเผาอารมณ์ที่เป็นข้าศึกแก่กุศลให้มอดไหม้ได้ ทำให้จิตดิ่งนิ่งสงบควรแก่การที่จะเจริญปัญญาต่อไป)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกความหมายของ “ฌาน” ไว้ว่า –
“ฌาน : (คำนาม) ภาวะที่จิตสงบแน่วแน่เนื่องมาจากการเพ่งอารมณ์, การเพ่งอารมณ์จนจิตแน่วแน่เป็นสมาธิ, เรียกลักษณะการทําจิตให้สงบตามหลักทางศาสนาว่า เข้าฌาน เช่น พระเข้าฌาน ฤษีเข้าฌาน, โดยปริยายหมายถึงนั่งหลับหรือนั่งเหม่อใจลอยไม่รับรู้อะไร เรียกว่า เข้าฌาน, ฌานนั้นจัดเป็น ๔ ชั้น เรียกชื่อตามลําดับที่ประณีตขึ้นไปกว่ากัน คือ ปฐมฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ ยังมีตรึก ซึ่งเรียกว่า วิตก มีตรอง ซึ่งเรียกว่า วิจาร เหมือนอารมณ์แห่งจิตของคนสามัญ มีปีติ คือความอิ่มใจ มีสุข คือความสบายใจอันเกิดแต่วิเวกคือความเงียบ และประกอบด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งลงไปซึ่งเรียกว่า เอกัคตา, ทุติยฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ละวิตกวิจารเสียได้ คงอยู่แต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิกับเอกัคตา, ตติยฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุขกับเอกัคตา, จตุตถฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ เหมือนกัน ละสุขเสียได้กลายเป็นอุเบกขาคือเฉย ๆ กับเอกัคตา, ฌานทั้ง ๔ นี้จัดเป็นรูปฌาน เป็นรูปสมาบัติ มีรูปธรรมเป็นอารมณ์ สงเคราะห์เข้าในรูปาวจรภูมิ. (ป.; ส. ธฺยาน).”
ต่อมา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ปรับแก้คำนิยามใหม่เหลืองเพียงว่า –
“ฌาน : (คำนาม) ภาวะที่จิตสงบแน่วแน่เนื่องมาจากการเพ่งอารมณ์ หรือการเพ่งอารมณ์จนจิตแน่วแน่เป็นสมาธิ แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ รูปฌาน กับ อรูปฌาน. (ป.; ส. ธฺยาน).”
บาลี “ฌาน” สันสกฤตเป็น “ธฺยาน”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ธฺยาน : (คำนาม) ธยาน, สมาธิ, ภาวนา, วิมรรศ์; meditation, reflection.”
(๒) “ญาณ”
บาลีอ่านว่า ยา-นะ รากศัพท์มาจาก ญา (ธาตุ = รู้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ), แปลง น เป็น ณ
: ญา + ยุ > อน = ญาน > ญาณ แปลตามศัพท์ว่า “เครื่องช่วยรู้” “สิ่งที่เป็นเหตุให้รู้” “รู้สิ่งที่พึงรู้” หมายถึง ความรู้, ปัญญา
“ญาณ” ในความหมายพิเศษ หมายถึงปัญญาหยั่งรู้หรือกําหนดรู้ความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างแจ่มชัดจนเกิดความสว่างไสวในดวงจิต หรือความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษถึงเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ญาณ, ญาณ– : (คำนาม) ปรีชาหยั่งรู้หรือกําหนดรู้ที่เกิดจากอํานาจสมาธิ, ความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษ. (ป.; ส. ชฺญาน).”
ความหมายที่แตกต่างระหว่าง “ฌาน” กับ “ญาณ” :
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ฌาน” ว่า meditation (การเพ่งภาวนา หรือสมาธิ)
และแปล “ญาณ” ว่า knowledge, intelligence, insight, conviction, recognition; cognizance, learning, skill (ความรู้, ปัญญา, การหยั่งเห็น, ความเชื่อ, ความเข้าใจ, การหยั่งรู้; การรับรู้, ความคงแก่เรียน, ทักษะ, ความฉลาด)
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต แปลคำว่า “ฌาน” และ “ญาณ” เป็นอังกฤษดังนี้ –
– ฌาน (Jhāna) meditation; absorption; a state of serene contemplation attained by meditation; (mis.) trance; ecstasy.
– ญาณ (Ñāṇa) knowledge; real knowledge; wisdom; insight.
สรุปว่า :
“ฌาน” คือ สมาธิ (meditation)
“ญาณ” คือ ปัญญา (wisdom)
ในคัมภีร์มีคำว่า “ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ” ซึ่งแปลว่า “เข้าฌานอยู่” แต่ไม่มีคำว่า “ญาณํ อุปสมฺปชฺช วิหรติ” ที่จะแปลได้ว่า “เข้าญาณ”
“เข้าญาณ” จึงไม่มี
มีแต่ “เข้าฌาน”
อนึ่ง โปรดสังเกตไว้ด้วยว่า คำว่า “ฌาน” ฌ เฌอ สระอา สะกดด้วย น หนู ไม่ใช่ “ฌาณ” สะกดด้วย ณ เณร ดังที่มักเขียนกันผิด
…………..
ดูก่อนภราดา!
: โรคไม่รู้ พอบอกให้รู้ก็หายสนิท
: แต่โรครู้ผิด ยากที่จะรักษาให้หาย
#บาลีวันละคำ (2,371)
9-12-61