บาลีวันละคำ

บาลีวันละคำ

กลาโหม (บาลีวันละคำ 427)

กลาโหม

อ่านว่า กะ-ลา-โหมฺ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกความหมายของ “กลาโหม” ไว้ว่า –

1 ชื่อกรมที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ในสมัยโบราณ มีสมุหพระกลาโหมเป็นประธาน

2 ชื่อกระทรวงที่มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในประเทศ

3 การชุมนุมพลรบ

มีปัญหาว่า คำว่า “กลาโหม” มาจากภาษาอะไร ?

1 บางท่านว่า กลา + โหม “กลา” แปลว่า ส่วน, เสี้ยวที่สิบหกของพระจันทร์ “โหม” คำไทย แปลว่า ทำให้แรงขึ้น (พระวรเวทย์พิสิฐ รวบรวม)

2 บางท่านว่า “กลาโหม” เป็นพิธีของพราหมณ์ แปลว่า “กองไฟ” เวลาจะไปทัพต้องทำพิธีนี้ จึงเอามาใช้เป็นคำเกี่ยวกับทหาร (พระวรเวทย์พิสิฐ รวบรวม)

3 บางท่านว่า “กลา” เป็นคำสันสกฤต “โหม” คำไทย แปลว่า รบ “กลาโหม” คือกองรบ (พระวรเวทย์พิสิฐ รวบรวม)

4 บางท่านว่า มาจากบาลีว่า“กลห” (กะ-ละ-หะ) แปลว่า วิวาท, ทะเลาะกัน, วุ่นวาย, รบประจัญบาน (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)

5 บางท่านว่า มาจากคำเขมรว่า กฺรฬาโหม “กฺรฬา” แปลว่า สังเวียน, ลาน, บริเวณ, ปริมณฑล, กระทงจีวร (ผ้าท่อนหนึ่งๆ ของจีวร มีลักษณะเหมือนกระทงนา ซึ่งมีรูปสี่เหลี่ยม) “โหม” แปลว่า การบูชาไฟ “กฺรฬาโหม” แปลว่า “สังเวียนแห่งการบูชาไฟ” เขมรโบราณเวลาจะไปทัพ พวกพราหมณ์จะต้องทำพิธีนี้ ไทยรับธรรมเนียมนี้มาจากเขมร (จิตร ภูมิศักดิ์)

ขอเสนอคำบางคำในภาษาบาลีเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ดังนี้ –

1 “กลา” (กะ-ลา) บาลีมีความหมาย 2 อย่างคือ (1) เสี้ยวเล็กๆ ของส่วนที่เต็ม (นัยเดียวกับที่ว่า “กฺรฬา” แปลว่า “กระทงจีวร” คือผ้าชิ้นเล็กๆ ที่ประกอบกันเป็นจีวรเต็มผืน) (2) อุบาย (an art), การหลอกลวง (a trick)

2 “กล” (กะ-ละ ไทยอ่านว่า กน กร่อนมาจาก “กลา”) พจน.42 บอกความหมายไว้ดังนี้

– การลวงหรือล่อลวงให้หลงหรือให้เข้าใจผิดเพื่อให้ฉงนหรือเสียเปรียบ เช่น เล่ห์กล
– เล่ห์เหลี่ยม เช่น กลโกง
– เรียกการเล่นที่ลวงตาให้เห็นเป็นจริงว่า เล่นกล
– เครื่องกลไก, เครื่องจักร, เครื่องยนต์ เช่น ช่างกล
– เช่น, อย่าง, เหมือน เช่น เหตุผลกลใด
– เคลือบแฝง เช่น ถ้าจําเลยให้การเป็นกลความ

จะเห็นได้ว่า เป็นความหมายของ “กลา” ที่ว่า “การหลอกลวง” นั่นเอง
ส่วนที่หมายถึงเครื่องจักรเครื่องยนต์ ก็สามารถ “ลากเข้าความ” ได้ว่า ชิ้นส่วนเล็กๆ ประกอบกันเข้านั่นเองจึงเป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์ อันเป็นความหมายของ “กลา” ที่ว่า “เสี้ยวเล็กๆ ของส่วนที่เต็ม”

3 คำที่ออกมาจาก “กล” คำหนึ่งที่ชัดเจนมาก คือ “กลยุทธ์” (กน-ละ-ยุด) หมายถึงการรบที่มีเล่ห์เหลี่ยม, วิธีการที่ต้องใช้กลอุบายต่าง ๆ, เล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้ “กล” ในคำนี้มีที่มาจากภารกิจของทหารโดยตรง

จะเห็นได้ว่า “กล-กลา” มีความหมายเกี่ยวกับกองทัพกองทหารได้ด้วย

4 “โหม” บาลีอ่านว่า โห-มะ แปลว่า เครื่องเซ่น, เครื่องบวงสรวง, การบูชา, การสังเวย, บูชายัญ, บูชาไฟ

ถ้า “กลาโหม” จะมาจากคำบาลี ก็แปลได้ว่า “พิธีเซ่นสรวงสังเวยในเวลาออกรบ” แล้วคลี่คลายกลายมาเป็นชื่อเรียกหน่วยงานของทหารดังที่ใช้ในปัจจุบัน

: รบกันด้วยกำลังความคิด มีผลศักดิ์สิทธิ์กว่าใช้กำลังอื่นใด

———————-
(เนื่องมาจากคำถามของ Surabhob Sanidvongs Na Ayuthaya
และขออภัยที่บาลีวันละคำวันนี้ยาวเกินปกติ)

Read More
บาลีวันละคำ

มาตุรงค์-บิตุรงค์ (บาลีวันละคำ 426)

มาตุรงค์-บิตุรงค์
คำไทยที่สร้างขึ้นจากคำบาลี

อ่านว่า มา-ตุ-รง, บิ-ตุ-รง

มาตุรงค์ แปลว่า “แม่” บิตุรงค์ แปลว่า “พ่อ”
มาตุรงค์-บิตุรงค์ ไม่ใช่คำที่ใช้พูดจากันตามปกติ แต่นิยมใช้ในกาพย์กลอนซึ่งจำเป็นต้องหาคำมารับสัมผัส กวีจึงสร้างคำขึ้นเพื่อให้มีเสียงรับสัมผัสตามที่ต้องการ

“มาตุรงค์” มาจาก มาตุ (มา-ตุ = แม่) + องฺค (อัง-คะ = องค์) เติม “ร” เข้าตรงกลางเพื่อให้เกิดรื่นไหลในการเปล่งเสียง (ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “ลง ร (ระ) อาคม”) : มาตุ + ร + องฺค = มาตุรงฺค (มา-ตุ-รัง-คะ) เขียนแบบไทยเป็น “มาตุรงค์”
“องฺค” แปลว่า ส่วน, ส่วนของร่างกาย, ส่วนประกอบ แต่ในที่นี้ใช้ในฐานะเป็นส่วนประกอบของคำโดยไม่ทำให้มีความหมายเพิ่มขึ้น คือ “มาตุรงค์” คงแปลว่า “แม่” เท่าเดิม

“บิตุรงค์” มาจาก ปิตุ (ปิ-ตุ = พ่อ) + องฺค = ปิตรงฺค เขียนแบบไทยเป็น “บิตุรงค์” (บ ใบไม้ ไม่ใช่ ป ปลา) ใช้หลักเกณฑ์การสร้างคำเช่นเดียวกับ “มาตุรงค์”

มาตุรงค์-บิตุรงค์ เป็นมรดกทางภาษาของภูมิปัญญาไทย

: สร้างคำขึ้นมาใช้ในที่เหมาะ
: รูปก็เพราะเสียงก็ดีมีความหมาย
: สร้างคนขึ้นมาใช้ไว้มากมาย
: น่าเสียดายคนดีดีมีไม่ใช้

Read More
บาลีวันละคำ

เสพ (บาลีวันละคำ 425)

เสพ
(บาลีแปลง)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกความหมายคำว่า“เสพ” ไว้ดังนี้ –

1 “คบ” เช่น ซ่องเสพ
2 “กิน, บริโภค” เช่น เสพสุรา
3 “ร่วมประเวณี” เช่น เสพเมถุน

และบอกว่า “เสพ” มาจากบาลีสันสกฤต

บาลีไม่มีคำว่า “เสพ” ตรงๆ แต่มีคำกริยา “เสวติ” (เส-วะ-ติ) (บุรุษที่พูดถึง เอกพจน์) มีความหมายว่า รับใช้, คบหาสมาคม, ซ่องเสพ, หันไปหา, ปฏิบัติ, รวมเข้าไว้, ใช้ประโยชน์

“เสวติ” มาจากรากศัพท์ (ธาตุ) ว่า “เสว” (เส-วะ)
แปลง“ว” เป็น “พ” ตามหลักนิยมในภาษาไทย “เสพ” ก็ตรงกับ “เสว”

“เสพ” ไทยมีความหมายตาม “เสว” บาลีอย่างไร ?

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “เสวติ” คำหนึ่งว่า serve ที่เราพูดกันว่า “เสิร์ฟ” เป็นคำเดียวกับ service ที่แปลกันคุ้นปากมากที่สุดว่า “บริการ”

พจน.42 บอกความหมายของ “บริการ” ว่า ปฏิบัติรับใช้, ให้ความสะดวกต่าง ๆ

ขยายความช่วย พจน.42 เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น ก็คือ –

1 คนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งบริการให้แก่กันและกัน (ตามความหมายที่ว่า “เพื่อนมีไว้ทำประโยชน์ให้เพื่อน”) นี่คือ “เสพ” ในความหมายว่าคบหาสมาคมกัน
2 เราทำให้ “ยา” บริการเรา ก็คือเรากำลัง “เสพยา” และถ้าเป็นยาที่ใช้บริการเป็นประจำจนขาดไม่ได้ ก็เรียกว่า “ยาเสพติด” นี่คือ “เสพ” ในความหมายว่า กิน, บริโภค
3 โดยนัยนี้ “เสพเมถุน” ก็หมายถึงสองชีวิตกำลังใช้ “เมถุน” เป็นเครื่องบริการกันและกัน นี่คือ “เสพ” ในความหมายว่า ร่วมประเวณี

“เสว” = เสพ = serve, service = บริการ มีความหมายเดียวกันด้วยประการฉะนี้

: บางอย่าง ยิ่งเสพยิ่งดี
: หลายอย่าง ยิ่งเสพยิ่งเสีย

Read More
บาลีวันละคำ

วรราชาทินัดดามาตุ (บาลีวันละคำ 424)

วรราชาทินัดดามาตุ

ประกอบด้วยคำว่า วร + ราช + อาทิ + นัดดา + มาตุ

“วร” เป็นคำวิเศษณ์แปลว่า ประเสริฐ, วิเศษ, เลิศ, อริยะ. เป็นคำนามตรงกับคำที่เราใช้ว่า “พร” แปลว่า ความปรารถนา, ความกรุณา

“ราช” แปลตามรากศัพท์ว่า (1) “ผู้รุ่งเรืองโดยยิ่งเพราะมีเดชานุภาพมาก” (2) “ผู้ยังคนทั้งหลายให้ยินดี” หมายถึง พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน
“ราช” ในภาษาไทยมักใช้ประกอบกับคําอื่น ถ้าคําเดียวนิยมใช้ว่า “ราชา”

“อาทิ” แปลว่า อันต้น, ทีแรก, เริ่มต้น, อันที่หนึ่ง, ตัวการ, หัวหน้า, จุดเริ่มต้น, จุดเริ่มแรก, เบื้องต้น, ขั้นแรก, เป็นครั้งแรก
ถ้าใช้กับ “คน” ก็หมายถึง คนที่หนึ่ง คนแรก คนที่เป็นต้นเหตุ

“นัดดา” บาลีเป็น “นตฺตุ” (นัด-ตุ) แปลว่า หลาน (หมายเฉพาะลูกของลูกโดยตรง)
“นตฺตุ” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้นำไป” (คือผู้นำวงศ์ตระกูลให้สืบทอดต่อไป) “ผู้อันเขาผูกพันไว้ด้วยความรัก” (พ่อแม่รักชั้นหนึ่งแล้ว ยังปู่ย่าตายายรักซ้ำอีกชั้นหนึ่ง)
คำนี้ถ้าเป็นประธาน บาลีแจกรูปเป็น “นตฺตา” (นัด-ตา) จึงใช้ในภาษาไทย (เป็นราชาศัพท์) ว่า “นัดดา”

“มาตุ” บาลีอ่านว่า มา-ตุ ถ้าเป็นประธาน แจกรูปเป็น “มาตา” หรือที่ใช้ในภาษาไทยว่า “มารดา” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รักลูกโดยธรรมชาติ” หรือ “ผู้ยังบุตรให้ดื่มนม” หมายถึงหญิงที่เป็นแม่ (ในที่นี้ใช้ตามรูปเดิมจึงเป็น “มาตุ”)
“มาตุ” ในภาษาไทยถ้าอยู่ท้ายคำ “-ตุ” ใช้เป็นตัวสะกด อ่านว่า “มาด” ทำนองเดียวกับ “เหตุ” อ่านว่า เหด “ชาติ” อ่านว่า ชาด

Read More
บาลีวันละคำ

วัตร (บาลีวันละคำ 423)

วัตร

ภาษาไทย อ่านว่า วัด
บาลีเป็น “วต” (วะ-ตะ) และ “วตฺต” (วัด-ตะ)

“วัตร” แปลตามศัพท์ว่า “กิจที่ดำเนินไป” หมายถึงกิจที่ควรถือประพฤติ, กิจพึงกระทำ, ข้อปฏิบัติ, ความประพฤติ, ธรรมเนียม, ประเพณี, สิ่งที่ทำ, หน้าที่, การบริการ, ประเพณี, งาน

ในสังคมสงฆ์ ท่านจำแนก “วัตร” เป็นดังนี้ –
1 “กิจวัตร” ว่าด้วยกิจที่ควรทำ เช่น อุปัชฌายวัตร (กิจที่ควรปฏิบัติต่ออุปัชฌาย์อาจารย์) สัทธิวิหาริกวัตร (กิจที่ควรปฏิบัติต่อศิษย์) อาคันตุกวัตร (กิจที่พึงปฏิบัติต่อแขก)
2 “จริยาวัตร” ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ เช่น ไม่ทิ้งขยะทางหน้าต่างหรือทิ้งลงนอกฝานอกกำแพง, ไม่ขากถ่มในที่อันไม่สมควร
3 “วิธีวัตร” ว่าด้วยแบบอย่างที่พึงกระทำ เช่น วิธีเก็บบริขาร วิธีเปิดปิดหน้าต่างตามฤดู วิธีเดินเป็นหมู่ (เช่นเดินบิณฑบาต)

ภิกษุเมื่ออยู่รวมกัน ต้องมีพระเถระเป็นหัวหน้าหมู่คณะ และมีธรรมเนียมที่ภิกษุในที่นั้นจะต้องไปทำวัตรแก่พระเถระในเวลาเช้าหรือเวลาเย็น คือไปทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูที่อยู่ของท่าน ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน ดูแลความเรียบร้อยทั่วไป เป็นโอกาสที่จะได้สนทนาธรรมหรือสอบถามปัญหาธรรมแก่กันและกัน หรือยกธรรมะบทใดบทหนึ่งขึ้นมาสวดสาธยายสู่กันฟัง เป็นการซักซ้อมความรู้ไปในตัว เป็นที่มาของการ “ทำวัตรสวดมนต์” อันมีความหมายว่า ทำวัตรแก่พระเถระเสร็จแล้วก็สวดมนต์คือทบทวนความรู้กัน

: อยู่อย่างคน ต้องทำ“วัตร”
: อยู่อย่างสัตว์ .. ตัวใครตัวมัน

Read More
บาลีวันละคำ

เสวก (บาลีวันละคำ 422)

เสวก

บาลีอ่านว่า เส-วะ-กะ
รากศัพท์มาจาก เสว (ธาตุ = คบหา, เสพ) + ณฺวุ (ปัจจัย = ผู้-) แปลง ณฺวุ เป็น “อก” (อะ-กะ) : เสว + ณฺวุ (= อก) = เสวก

“เสว” (เส-วะ) คำกริยาเป็น “เสวติ” (เส-วะ-ติ) มีความหมายว่า รับใช้, คบหาสมาคม, ซ่องเสพ, หันไปหา, ปฏิบัติ, รวมเข้าไว้, ใช้ประโยชน์ ซึ่งตรงกับคำอังกฤษว่า serve หรือที่เราพูดกันว่า “เสิร์ฟ”
“เสวก” จึงมีความหมายเหมือน serve นั่นเอง ฝรั่งแปล “เสวก” ว่า serving, a servant
นักบาลีในเมืองไทยนิยมแปลคำกริยา “เสวติ” ว่า ย่อมเสพ, ย่อมคบ ดังนั้น “เสวก” จึงแปลว่า “ผู้เสพคุ้น” “ผู้คบหา”
พจน.42 บอกว่า “เสวก” คือ ข้าราชการในราชสํานัก

ในภาษาบาลี คำว่า “เสวก” ใช้ในฐานะ 2 อย่าง คือ
1 คนรับใช้ประจำตัว
2 ข้าราชบริพาร หรือข้าราชสำนัก ในความหมายว่า “ผู้ใกล้ชิดพระราชา”
ในคัมภีร์อรรถกถาจัด “เสวก” ไว้ในกลุ่ม “ราชภัฏ”
“ราชภัฏ” คือบุคคลที่เรียกว่า “ข้าราชการ” แต่ “เสวก” หมายเอาเฉพาะข้าราชการที่เป็นข้าราชบริพาร หรือข้าราชสำนักเท่านั้น

คำว่า “เสวก” ใช้ประกอบยศข้าราชการในพระราชสำนักสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น
– มหาเสวกตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร)
– มหาเสวกเอก พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์)

ตารางเทียบยศทหารกับยศข้าราชการในพระราชสำนักแสดงไว้ว่า นายร้อยตรี เท่ากับ “รองเสวกตรี”

ในภาษาไทย “เสวก” อ่านว่า เส-วก ไม่ใช่ สะ-เหฺวก

Read More
บาลีวันละคำ

อัยการ [1] (บาลีวันละคำ 421)

อัยการ [1]

อ่านว่า ไอ-ยะ-กาน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกคำแปลว่า “การของเจ้า”
ถ้าถือตามคำแปลของ พจน.42 “อัยการ” ตรงกับบาลีว่า “อยฺยการ” อ่านว่า ไอ-ยะ-กา-ระ

“อยฺย” หมายถึง ผู้เป็นใหญ่, ผู้ปกครอง, ผู้สูงศักดิ์, เจ้าเหนือหัว, เจ้านาย, หัวหน้า ตรงกับคำเรียกขานที่ว่า ท่านผู้ทรงเกียรติ, ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย
“อยฺย” คำนี้ แปลตามรากศัพท์จริงๆ ว่า “ควรเข้าไปหา” และ “ที่รู้จักกันทั่วไปว่าประเสริฐ”
ขยายความตามหลักตรรกะว่า เราต้องการสิ่งใด จึงเข้าไปหาสิ่งนั้น, สิ่งใดประเสริฐ เราจึงต้องการสิ่งนั้น
ดังนั้น ความหมายโดยนัยของ “อยฺย” ก็คือ “ศูนย์รวมแห่งผลประโยชน์” หรือ “ผลประโยชน์ของส่วนรวม” นั่นเอง

“การ” แปลว่า การกระทำ, งาน, สิ่งหรือเรื่องที่ทํา
อยฺย + การ = อยฺยการ เขียนแบบไทยว่า “อัยการ”

พจน.42 บอกความหมายของ “อัยการ” ไว้ดังนี้ –

1 ตัวบทกฎหมาย เรียกว่า พระอัยการ

2 ชื่อสำนักงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาทั้งปวง ดำเนินคดีแพ่งและให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เรียกว่า สำนักงานอัยการสูงสุด, เดิมเรียกว่า กรมอัยการ

3 เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายแผ่นดินเพื่ออำนวยความยุติธรรม รักษาผลประโยชน์ของรัฐ และคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เรียกว่า พนักงานอัยการ หรือ ข้าราชการอัยการ

4 เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล ทั้งนี้ จะเป็นข้าราชการในสำนักงานอัยการสูงสุดหรือเจ้าพนักงานอื่นผู้มีอำนาจเช่นนั้นก็ได้

5 โบราณเรียกว่า พนักงานรักษาพระอัยการ ยกกระบัตร หรือ ยกบัตร

อัยการ : ผู้ปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดิน
ใครที่จ้องแต่จะเขมือบ : ก็คือ เหลือบของแผ่นดิน

Read More
บาลีวันละคำ

อาวาส (บาลีวันละคำ 420)

อาวาส

บาลีอ่านว่า อา-วา-สะ
ภาษาไทยอ่านว่า อา-วาด
“อาวาส” รากศัพท์คือ อา + วส (ธาตุ = อยู่) + ณ ปัจจัย

ณ ปัจจัย หรือปัจจัยที่เนื่องด้วย ณ (เช่น เณ ณฺย) มักไม่ปรากฏตัว ณ (ภาษาสูตรไวยากรณ์ว่า “ลบ ณ ทิ้งเสีย”) แต่มีอำนาจทีฆะต้นธาตุ คือธาตุที่มี 2 พยางค์ ถ้าพยางค์แรกเสียงสั้นก็ยืดเป็นเสียงยาว (อะ เป็น อา, อิ เป็น อี, อุ เป็น อู) ในที่นี้ วส ธาตุ “ว” เสียงสั้น จึงยืดเป็น “วา” : อา + วส = วาส + ณ = อาวาส

“อาวาส” แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่มาอยู่” = มาถึงตรงนั้นแล้วก็อยู่ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า “อาวาส” ความหมายกว้างๆ คือ การพักแรม, การพักอยู่, การอาศัยอยู่, การอยู่; ที่อยู่, ที่พำนัก
ในภาษาไทย “อาวาส” มีความหมายเฉพาะว่า วัด

จากการศึกษาสังเกตสิ่งก่อสร้างภายในอาวาสในเมืองไทยที่มีมาแต่ก่อน ท่านแบ่งเป็น 3 เขต ตามแนวแห่งพระรัตนตรัย คือ
1 เขตที่มีโบสถ์ วิหาร เจดีย์ สถูป พระธาตุ เรียกว่า “พุทธาวาส”
2 เขตที่มีศาลาการเปรียญ หอไตร หอสวดมนต์ เรียกว่า “ธัมมาวาส”
3 เขตที่เป็นกุฏิที่พระสงฆ์อยู่ เรียกว่า “สังฆาวาส”

“อาวาส” ที่ไม่เกี่ยวกับวัด คือ “ฆราวาส” (ฆร + อาวาส) แปลว่า “ผู้อยู่ครองเรือน” คือชาวบ้านทั่วไป พูดล้อตามเขตทั้งสามข้างต้นก็ว่า “เขตของชาวบ้าน”

: พระอยู่อย่างพระ ศาสนาพิลาส
: พระอยู่อย่างฆราวาส ศาสนาพินาศ

Read More
บาลีวันละคำ

อาราม (บาลีวันละคำ 419)

อาราม

บาลีอ่านว่า อา-รา-มะ
ภาษาไทยอ่านว่า อา-ราม

“อาราม” แปลตามศัพท์ว่า “เป็นที่มายินดี” = มาถึงตรงนั้นแล้วเกิดความรู้สึกยินดีรื่นรมย์ใจ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า “อาราม”

“อาราม” ในบาลีมีความหมาย 2 อย่าง คือ
1 ความยินดี, ความชอบใจ, ความรื่นรมย์, ความร่มรื่น
2 สถานที่อันร่มรื่น, สวน, อุทยาน
ความหมายที่ 2 นี้ฝรั่งแปลว่า park, garden อันเป็นคำที่คนไทยคุ้นมานาน

นักบวชสมัยพุทธกาลพอใจที่จะพักอาศัยอยู่ตามป่าไม้ซึ่งปกติเป็นที่ร่มรื่น อันเป็นความหมายของ “อาราม” ดังนั้น คำว่า “อาราม” จึงหมายถึงสถานที่พักอาศัยของนักบวชด้วย
“อาราม” ในภาษาไทยหมายถึง “วัด” และถ้าเป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นทรงสร้างหรือทรงอุปถัมภ์บำรุง ก็เรียกว่า “พระอารามหลวง”

มีเรื่องว่า พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปถวายผ้าพระกฐินที่พระอารามหลวงแห่งหนึ่ง เจ้าพนักงานไปตรวจภายในวัด เห็นว่ามีต้นไม้กีดขวางเส้นทางที่จะเสด็จ ก็จะตัดทิ้ง แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่ยอมให้ตัด ยืนยันว่า “ถ้าเสด็จไม่ได้ก็ไม่ต้องเสด็จ” แสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์สมัยก่อนท่านเข้มแข็งอย่างยิ่งในการรักษาความร่มรื่นภายในวัดเพื่อให้สมกับที่วัดเป็น “อาราม”

ในแง่ความเป็นที่อยู่อาศัย “อาราม” กับ “วิหาร” ไม่ต่างกัน
แต่ในแง่ความเหมาะสม “วิหาร” ควรมีความเป็น “อาราม” อยู่ด้วยเสมอ

คาเม วา ยทิวารญฺเญ นินฺเน วา ยทิวา ถเล
ยตฺถ อรหนโต วิหรนฺติ ตํ ภูมิรามเณยฺยกํ.
ไม่ว่าจะในหมู่บ้านหรือในป่า ที่ลุ่มหรือที่ดอน
พระอรหันต์อยู่ที่ไหน ที่นั้นก็เป็นอาราม

Read More
บาลีวันละคำ

เถร-เถน (บาลีวันละคำ 418)

เถร-เถน

เถร บาลีอ่านว่า เถ-ระ
เถน บาลีอ่านว่า เถ-นะ

“เถร” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มั่นคง” “ผู้ยังคงอยู่” “ผู้น่าสรรเสริญยกย่อง” หมายถึงพระเถระ, พระผู้ใหญ่, พระภิกษุผู้มีพรรษาตั้งแต่ 10 ขึ้นไป; ผู้เป็นพระเถระ, ผู้แก่, ผู้เฒ่า, ผู้ใหญ่

ในพระไตรปิฎกแสดงคุณสมบัติของภิกษุที่สมควรได้นามว่า “เถร” ไว้ 4 ประการ คือ
1 มีศีลาจารวัตรอันงาม
2 เป็นพหูสูต รอบรู้พระธรรมวินัย
3 ทรงสมาธิ (ตามหลักว่าถึงขั้นได้ฌาน)
4 เป็นอิสระจากกิเลส
ภิกษุผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้แม้อายุน้อย ก็ได้นามว่า “ธรรมเถร” (ผู้เป็นเถระโดยธรรม) ภิกษุที่อายุพรรษามาก แต่พร่องคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านเรียกว่า “สมมุติเถร” (ผู้เป็นเถระโดยสมมุติ)

ในภาษาไทย มีปัญหาว่า “เถร” (ไม่มีสระ อะ) ในนามสมณศักดิ์ เช่น “พระโพธิญาณเถร” จะอ่านอย่างไร -เถ-ระ หรือ -เถน ?
ตามเจตนาในการเขียน ควรอ่านว่า “-เถน” เช่นเดียวกับ “สามเณร” เราก็อ่านว่า -เนน ไม่ใช่ -เน-ระ
ถ้าต้องการให้อ่านว่า – เถ-ระ ก็ควรจะเขียนเป็น “-เถระ”

บางท่านรังเกียจเสียง “เถน” เพราะ “เถน” (บาลีอ่านว่า เถ-นะ) แปลว่า ขโมย จึงเรียกพระที่ประพฤติเสียหายว่า “เถน” แล้วอธิบายแบบลากเข้าวัดว่า พระที่เป็น “เถน” ก็เพราะขโมยเพศพระมาครอง

พจน.42 เก็บคำว่า “เถน” ไว้ บอกความหมายว่า “นักบวชที่เป็นอลัชชี” ทั้งๆ ที่ “เถน – ขโมย” ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนักบวชเลย

Read More