Month: พฤษภาคม 2013

บาลีวันละคำ

ราชทินนาม (บาลีวันละคำ 382)

ราชทินนาม
(บาลีไทย)

อ่านว่า ราด-ชะ-ทิน-นะ-นาม

ประกอบด้วยคำว่า ราช + ทิน + นาม
“ราช” แปลว่า พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน
“ทิน” บาลีเป็น “ทินฺน” (ทิน-นะ, น หนู สองตัว) แปลว่า “(สิ่งที่ถูก) ให้” ตรงกับคำที่เราพูดกันว่า “เขาให้มา”
“นาม” บาลีอ่านว่า นา-มะ แปลว่า ชื่อ
“ราชทินนาม” แปลตามศัพท์ว่า “ชื่อที่พระราชาให้”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกความหมายไว้ว่า “ชื่อบรรดาศักดิ์หรือสมณศักดิ์ชั้นสัญญาบัตรที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทาน”

“ราชทินนาม” เกี่ยวเนื่องด้วยฐานันดรศักดิ์ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งให้ข้าราชการหรือบุคคลทั่วไปเป็นเจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น พัน และทนาย โดยทรงตั้งชื่อให้ใหม่ เรียกว่า “ราชทินนาม”
ราชทินนามมักสอดคล้องกับงานหรือหน้าที่ของผู้นั้น เช่น –
“หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” ราชทินนามของนายปรีดี พนมยงค์ (“มนูธรรม” หมายถึงรัฐธรรมนูญ ท่านผู้นี้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก)
“พระยาอนุมานราชธน” ราชทินนามของนายยง เสฐียรโกเศศ (“ราชธน” หมายถึงรายได้ของหลวง ท่านผู้นี้รับราชการที่กรมศุลกากร)

“ราชทินนาม” ยังเกี่ยวด้วยสมณศักดิ์ คือพระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้งและสถาปนาให้เป็นพระราชาคณะตั้งแต่ชั้นสามัญขึ้นไป (ที่ภาษาปากเรียกกันว่า “ท่านเจ้าคุณ”) จนถึงชั้นสมเด็จพระราชาคณะ จะมีราชทินนามต่างๆ เช่น พระโสภณคณาภรณ์ พระธรรมโกศาจารย์

ราชทินนามเป็นกลุ่มคำ จึงต้องเขียนติดกันเป็นคำเดียว
ข้อบกพร่องที่พบเสมอในสื่อสิ่งพิมพ์สมัยนี้ก็คือ เขียนราชทินนามแยกเป็น ๒ คำ เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อกับนามสกุล เช่น –
หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม เข้าใจผิดว่าชื่อ ประดิษฐ์ นามสกุล มนูธรรม
พระยาอนุมาน ราชธน เข้าใจผิดว่าชื่อ อนุมาน นามสกุล ราชธน
พระโสภณ คณาภรณ์ เข้าใจผิดว่าชื่อ พระโสภณ นามสกุล คณาภรณ์

ราชทินนาม เป็นความงามของภาษา
ช่วยกันคงคุณค่า : เขียนให้ถูกต้อง อ่านให้คล่องแคล่ว

Read More
บาลีวันละคำ

กวี (บาลีวันละคำ 381)

กวี

อ่านว่า กะ-วี
บาลีกับไทยใช้เหมือนกัน แต่บาลีมีทั้งที่เป็น “กวิ” และ “กวี”

“กวี” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้สรรเสริญ” (คือแต่งบทสรรเสริญเทพเจ้า) “ผู้ผูกทั่ว” (คือเอาถ้อยคำมาผูกเข้าเป็นบทกลอน) “ผู้กล่าวถ้อยคำที่น่ารักเป็นปกติ” “ผู้กล่าวถ้อยคำดื่มด่ำ”

ในคัมภีร์จำแนก “กวี” ออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. จินฺตากวี = แต่งโดยความคิด (an original poet.กวีที่ไม่เลียนแบบใคร)
2. สุตกวี = แต่งโดยได้ฟังมา (one who puts into verse what he has heard. ผู้แต่งร้อยกรองจากเรื่องที่ได้ฟังมา)
3. อตฺถกวี = แต่งตามความจริง (a didactic poet. กวีที่แต่งสั่งสอนคน)
4. ปฏิภาณกวี = แต่งกลอนสด (an improvisor. กวีผู้แต่งร้อยกรองขึ้นโดยปัจจุบันทันที)
(ความหมายตาม พจน.42, ในที่นี้ยกคำอังกฤษมาเทียบเพื่อศึกษาว่า ฝรั่งกับเราเข้าใจตรงกันหรือไม่)

ภาษาไทยในระยะหลังๆ มีผู้ใช้คำว่า “นักกวี” ซึ่งไม่ถูกต้อง
“นัก” ใช้ประกอบหน้าคํานามธรรมดาหรือคำกริยาให้เป็นคำนามที่หมายถึง “บุคคล” และมีความหมายว่า –
– “ผู้” เช่น นักเรียน = ผู้ศึกษาเล่าเรียน, ผู้รับการศึกษาจากโรงเรียน
– “ผู้ชอบ” เช่น นักดื่ม นักท่องเที่ยว
– “ผู้ชํานาญ” เช่น นักเทศน์ นักดนตรี นักคํานวณ นักสืบ
– “ผู้มีอาชีพในทางนั้น ๆ” เช่น นักกฎหมาย นักแสดง นักเขียน
– “ผู้ฝักใฝ่ในทางนั้นๆ” เช่น นักการเมือง, นักเลง- (เช่น นักเลงหนังสือ)
คำเหล่านี้ ถ้าไม่มี “นัก-” นำหน้า ก็จะไม่หมายถึง “บุคคล”

Read More
บาลีวันละคำ

สงฺเกต (บาลีวันละคำ 380)

สงฺเกต

อ่านว่า สัง-เก-ตะ
เขียนแบบไทยเป็น “สังเกต” อ่านว่า สัง-เกด

“สงฺเกต” ในบาลี เป็นคำนาม แปลว่า การหมายไว้, การกำหนดไว้, ความตกลง, การนัดหมาย, สถานที่นัดหมาย, ที่นัดพบ
“สังเกต” ในภาษาไทย (กรณีไม่มีคำนำหน้าหรือตามหลัง) ใช้เป็นคำกริยา มีความหมายว่า กําหนดไว้, หมายไว้, ตั้งใจดู, จับตาดู

“สังเกต” ในภาษาไทยมักเขียนผิดเป็น “สังเกตุ” (มีสระ อุ ใต้ ต) ในภาษาบาลีไม่มีปัญหานี้เนื่องจากรูปศัพท์เป็น “สงฺเกต” และอ่านว่า สัง-เก-ตะ จึงไม่มีทางที่จะเขียนผิดเป็น “สงฺเกตุ” เหมือนในภาษาไทย

ข้อสังเกตเหตุที่มักเขียน “สังเกต” เป็น “สังเกตุ”
1 คำไทยที่มาจากบาลีสันสกฤตซึ่งมี ต เต่า เป็นตัวสะกด มักมีตัวตาม เช่น
มิตร (คำว่า “นิมิต” มักจะเขียนผิดเป็น “นิมิตร”)
เนตร (เทียบคำว่า “เขต” เคยเขียนเป็น “เขตร”)
วิจิตร (คำว่า “จิตใจ” เคยเขียนเป็น “จิตรใจ”)
ดังนั้น พอจะเขียน “สังเกต” ความรู้สึกจึงบอกว่าต้องมีพยัญชนะหรือสระตามมาอีก

2 ต ที่มีสระและเป็นตัวสะกด ที่เราคุ้นกันมาก ก็เช่น ชาติ (ชาด) ธาตุ (ทาด) เหตุ (เหด) โดยเฉพาะ “เหตุ” โครงสร้างของรูปคำและระดับเสียงเข้ากับ “เกตุ” ได้พอดี พอเห็นคำว่า “สังเกต” (ไม่มีสระ อุ = ถูก) ใจก็สั่งให้เขียนเป็น “สังเกตุ” (มีสระ อุ = ผิด) ตามความเคยชินที่ซึมซับมาจากคำอื่นๆ

3 ประกอบกับการที่คนทั่วไปมักไม่ระแวงหรือไม่ชอบสงสัยว่าคำในภาษาเดิมจะสะกดอย่างไร จึงพากันเขียนผิดเพลินไปโดยไม่รู้ตัว

เชื่อหรือไม่ :
เขียนผิดเพราะไม่รู้ – รู้แล้วก็ควรเลิกเขียน (ผิด)
ทำผิดเพราะไม่รู้ – รู้แล้วก็ควรเลิกทำ

Read More
บาลีวันละคำ

อธิษฐาน (บาลีวันละคำ 379)

อธิษฐาน

พจน.42 บอกว่า อ่านว่า อะ-ทิด-ถาน ก็ได้ อะ-ทิด-สะ-ถาน ก็ได้
บาลีเป็น “อธิฏฺฐาน” อ่านว่า อะ-ทิด-ถา-นะ

“อธิฏฺฐาน” แยกเป็น อธิ + ฐาน ซ้อน ฏ สำเร็จรูปเป็น อธิฏฺฐาน
“อธิ” เป็นคำอุปสรรค แปลว่า ยิ่ง, ใหญ่, ทับ
“ฐาน” แปลว่า ฐานะ, การตั้งอยู่, การดำรงอยู่, การหยุดอยู่, ที่ตั้ง, หลักแหล่ง, ตำแหน่ง, เหตุ, โอกาส
“อธิฏฺฐาน” เขียนอิงสันสกฤตเป็น “อธิษฐาน” แปลตามศัพท์ว่า ความตั้งใจแน่วแน่, การตัดสินใจ, ความตกลงใจ

“อธิฏฺฐาน – อธิษฐาน” ตามความหมายเดิมคือ ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว, ความตั้งใจมั่นแน่วที่จะทำการให้สำเร็จลุจุดหมาย, ความตั้งใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยวว่าจะทำการนั้นๆ ให้สำเร็จ และมั่นคงแน่วแน่ในทางดำเนินและจุดมุ่งหมายของตน เป็นบารมีอย่างหนึ่ง เรียกว่า อธิษฐานบารมี

ในภาษาไทย “อธิษฐาน” เข้าใจกันในความหมายว่า ตั้งใจมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง, ตั้งจิตปรารถนา, ตั้งจิตขอร้องต่อสิ่งที่ตนถือว่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อผลอย่างใดอย่างหนึ่ง

จะเอาอย่างไหนดี อย่างบาลี หรืออย่างไทย ?
“อธิฏฺฐาน” บาลี : ตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จด้วยความพยายามของตน
“อธิษฐาน” ไทย : ตั้งใจขอเพื่อจะได้หรือให้สำเร็จด้วยอำนาจดลบันดาลโดยตนเองไม่ต้องทำ

Read More
บาลีวันละคำ

มารวิชย (บาลีวันละคำ 378)

มารวิชย

อ่านว่า มา-ระ-วิ-ชะ-ยะ
ภาษาไทยเขียน “มารวิชัย” อ่านตามหลักภาษาว่า มา-ระ-วิ-ไช อ่านตามสะดวกปากว่า มาน-วิ-ไช

“มารวิชย” ประกอบด้วย มาร + วิชย
“มาร” แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ให้ตาย” มีความหมายว่า สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี
“วิชย” แปลว่า ชัยชนะ, ความมีชัย, การปราบหรือพิชิต

“มารวิชย-มารวิชัย” แปลว่า “ชนะมาร”
คำนี้ไม่พบในคัมภีร์ชั้นพระไตรปิฎก แต่มีในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา และท่านระบุว่า “มาร” ในที่นี้คือ “กิเลส”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 อธิบายคำ “มารวิชัย” ว่า “ชื่อพระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางควํ่าลงที่พระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณีในคราวที่พระองค์ทรงเอาชนะมารได้ ว่า พระปางมารวิชัย, พระปางชนะมาร หรือ พระปางสะดุ้งมาร ก็เรียก”

ความจริง คำว่า “สะดุ้งมาร” เป็นคำที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่องมีอยู่ว่าเจ้านายพระองค์หนึ่งไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ เห็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์หนึ่งช่างทำพุทธลักษณะไม่งาม จึงตรัสอย่างเป็นคำคะนองด้วยอารมณ์ขันว่า “พระองค์นี้น่ากลัวจะสะดุ้งมาร”
คำว่า “สะดุ้งมาร” เป็นคำเตะหู ผู้ได้ยินคำนั้นเอาไปพูดต่อกันไป เลยติดหูและติดปาก แล้วกลายเป็นคำที่เรียกกันไปจริงๆ มาจนทุกวันนี้

: เข้าใจผิดทุกวาร ก็ “สะดุ้งมาร” ทุกวัน
: เข้าใจถูกเมื่อใด ก็ “มารวิชัย” เมื่อนั้น

Read More
บาลีวันละคำ

สมมต – สมมติ – สมมุติ (บาลีวันละคำ 377)

สมมต – สมมติ – สมมุติ

คำที่เป็นหลักใน 3 คำนี้ คือ สม + มต
“สม” บาลีเป็น สํ (สัง) แปลงนิคหิต (เครื่องหมายกลมๆ บน ส) เป็น มฺ = สมฺ อ่านว่า สำ
“มต” (มะ-ตะ, เป็นคำกริยา) แปลว่า “รู้แล้ว”
ลง ติ ปัจจัย เป็น “มติ” (เป็นคำนาม) แปลว่า ความรู้, ญาณ, ปัญญา, ความคิด
แปลง อ (ที่ ม) เป็น อุ เป็น “มุติ” (เป็นคำนาม) แปลว่า ญาณ, ปัญญา, ความรู้, ความเข้าใจ, สติปัญญา, การกำหนดรู้โดยทางประสาท, ประสบการณ์

มต, มติ, มุติ เติม “สมฺ” เข้าข้างหน้า ได้รูปเป็น สมฺมต, สมฺมติ, สมฺมุติ เขียนแบบไทยเป็น สมมต, สมมติ, สมมุติ (ลบจุดใต้ ม ตัวแรก)
สมมต, สมมติ อ่านแบบไทยว่า สม-มด
สมมุติ อ่านแบบไทยว่า สม-มุด
ทั้งสามคำนั้นแปลตามศัพท์ว่า “รู้พร้อมกัน” “รับรู้ร่วมกัน” “ยอมรับร่วมกัน”

ภาษาไทย ใช้ในความหมายที่แตกต่างออกไป พจน.42 บอกไว้ดังนี้
– “รู้สึกนึกเอาว่า” เช่น สมมติให้ตุ๊กตาเป็นน้อง
– “ต่างว่า, ถือเอาว่า” เช่น สมมุติว่าได้มรดกสิบล้าน จะบริจาคช่วยคนยากจน สมมุติว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ 1 จะไปเที่ยวรอบโลก
– “ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย โดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง” เช่น สมมติเทพ

คำตามความหมายเหล่านี้ เราออกเสียงเป็น สม-มุด กันโดยทั่วไป

: สมมุติไม่ใช่เรื่องจริง แต่เมื่อสมมุติให้เป็นอะไร จงทำหน้าที่นั้นให้จริง

Read More
บาลีวันละคำ

อาสน์สงฆ์ (บาลีวันละคำ 376)

อาสน์สงฆ์
(บาลีแบบไทย)

อ่านว่า อาด-สง

“อาสน์สงฆ์” คือ อาสน์ + สงฆ์

“อาสน์” เขียนแบบไทย บาลีเป็น “อาสน” อ่านว่า อา-สะ-นะ แปลว่า การนั่ง, การนั่งลง, ที่นั่ง, เครื่องปูรองนั่ง, ตั่ง, บัลลังก์

“สงฆ์” บาลีเป็น “สงฺฆ” (สัง-คะ) มีความหมายว่า ฝูงชน, ชุมนุมชน, หมู่, ฝูง, คณะสงฆ์, พระ, นักบวช, พุทธจักร, กลุ่มใหญ่, ประชาคม; ในทางพระวินัย หมายถึงภิกษุตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป

ในคำว่า “อาสน์สงฆ์” นี้ “สงฆ์” หมายถึงพระภิกษุสามเณร

“อาสน์” รวมกับ “สงฆ์” แบบไทย เป็น “อาสน์สงฆ์” แปลว่า “ที่นั่งของพระสงฆ์” พจน.42 บอกความหมายเฉพาะว่า “ที่ยกพื้นสําหรับพระสงฆ์นั่ง”

คำว่า “อาสน์สงฆ์” มีข้อควรสังเกตบางประการทางภาษาและวัฒนธรรม คือ

1 คำนี้ น์ การันต์ เพราะเป็นการประสมคำแบบไทย ถ้าไม่การันต์ เขียนเป็น “อาสนสงฆ์” (อ่านว่า อา-สะ-นะ-สง) จะเสียวัฒนธรรมทางภาษา เพราะ “ที่นั่งของพระสงฆ์” คำเก่าพูดว่า “อาด-สง” ไม่ใช่ อา-สะ-นะ-สง

2 อาสน์สงฆ์มักสร้างเป็นยกพื้นถาวรในศาลาการเปรียญ หรือศาลาบำเพ็ญกุศล เพราะเป็นธรรมเนียมที่พระสงฆ์เมื่ออยู่ในพิธีจะนั่งพับเพียบกับพื้น ในกรณีที่มีพิธีนอกศาลา จะต้องทำยกพื้นชั่วคราวเป็นอาสน์สงฆ์ (ไม่นั่งเก้าอี้)

3 ตามวัฒนธรรมไทย เราเคารพสงฆ์อย่างยิ่ง แม้แต่ที่นั่งของสงฆ์ ฆราวาสโดยเฉพาะสตรีเพศ จะไม่อาจเอื้อมขึ้นไปนั่งเด็ดขาด

: จะเปลี่ยนแปลงอะไร อย่าลืมเกรงใจวัฒนธรรม

Read More
บาลีวันละคำ

นวารหาทิคุณ (บาลีวันละคำ 375)

นวารหาทิคุณ

อ่านว่า นะ-วา-ระ-หา-ทิ-คุน
ประกอบด้วยคำว่า นว (= เก้า) + อรห (= บทว่า อรหํ) + อาทิ (= เป็นต้น) + คุณ (= พระคุณ) แปลว่า “คุณพระพุทธเจ้า 9 ประการ มีบท อรหํ เป็นต้น”

พระพุทธคุณ 9 ประการ ที่เป็นภาษาบาลี เขียนแบบไทยดังนี้ –

อิติปิ โส ภควา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.

Read More
บาลีวันละคำ

-ธิคุณ (บาลีวันละคำ 374)

ธิคุณ

(ท้ายคำเรียกพระพุทธคุณทั้งสาม)

ผู้รู้ประมวลพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็น 3 ส่วน คือ พระปัญญา พระวิสุทธิ และ พระกรุณา

มีผู้ใช้คำเรียกพระคุณทั้งสามว่า พระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ พระกรุณาธิคุณ (ลำดับก่อนหลังอาจต่างกันไป)

ปัญหาคือ “-ธิคุณ” ท้ายคำทั้งสามนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ?

พิจารณาตามหลักภาษาบาลี

1 “ปัญญาธิคุณ” แยกเป็น ปัญญา + อธิคุณ = พระคุณอันยิ่งคือปัญญา
2 “วิสุทธิคุณ” แยกเป็น วิสุทธิ + คุณ = พระคุณคือวิสุทธิ
3 “กรุณาธิคุณ” แยกเป็น กรุณา + อธิคุณ = พระคุณอันยิ่งคือกรุณา

ดูเผินๆ ลงท้ายว่า “-ธิคุณ” เหมือนกัน ก็น่าจะถูกต้องแล้ว แต่เมื่อแยกศัพท์จะเห็นได้ว่า “ปัญญา” และ “กรุณา” + “อธิคุณ” แต่ “วิสุทธิ” + “คุณ” (ไม่ใช่ “อธิคุณ”) น้ำหนักของคำจึงไม่สมเสมอกัน

Read More
บาลีวันละคำ

ดุษฎี – ดุษณี (บาลีวันละคำ 373)

ดุษฎี – ดุษณี

คำแรกอ่านว่า ดุด-สะ-ดี (ดี-เสียง ด เด็ก)
คำหลังอ่านว่า ดุด-สะ-นี (นี-เสียง น หนู)

“ดุษฎี” (ฎ ชฎา) ตรงกับบาลีว่า “ตุฏฺฐิ” (ตุด-ถิ) แปลว่า ความยินดี, ความร่าเริง, ความชื่นชม, ความรื่นเริง, ความบันเทิง, ความปลื้มใจ (คำเดียวกับ ดุษฎีบัณฑิต)

“ดุษณี” (ณ เณร) ตรงกับบาลีว่า “ตุณฺหี” (ตุน-นฮี ณ สะกดและเป็นกึ่งตัวนำพยางค์หลัง) แปลว่า นิ่ง, เงียบ, อาการนิ่งซึ่งแสดงถึงการยอมรับ นิยมใช้ว่า “โดยดุษณี” หรือ “โดยดุษณีภาพ” เช่น “เขายอมรับผิดโดยดุษณี”

คำสองคำนี้มีปัญหาการใช้ในภาษาไทย คือ ในที่อันควรจะใช้ว่า “ดุษณี” (= ยอมรับโดยการนิ่ง) แต่มักจะพูดว่า “เขายอมรับโดยดุษฎี” (ดุษฎี =ความยินดี, ความปลื้มใจ) บางทีผิดไปจนถึงว่า “เขายอมรับโดยสดุดี” (สดุดี = ยกย่อง, สรรเสริญ) แล้วยังพลอยสงสัยไปถึงคำว่า “อุษณีษ์” ที่เสียงคล้ายกัน แต่ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย (“อุษณีษ์” ตรงกับบาลีว่า “อุณหีส” แปลว่า มงกุฎ และโปรดสังเกต ษ ฤๅษีการันต์ ไม่ใช่ ย ยักษ์)

คำเหล่านี้มีความหมายต่างกัน ดูที่ฝรั่งแปลไว้อาจช่วยได้บ้าง
ยินดี-ดุษฎี = pleasure, joy, enjoyment
นิ่งเงียบ-ดุษณี = silently, silence, attitude of consent
ยกย่อง-สดุดี = praise
มงกุฎ-อุษณีษ์ = diadem, a turban

Read More