Month: มิถุนายน 2014

บาลีวันละคำ

อนาคามี (บาลีวันละคำ 773)

อนาคามี

ไทยและบาลีเขียนเหมือนกัน อ่านว่า อะ-นา-คา-มี

“อนาคามี” รากศัพท์มาจาก น (นะ) (= ไม่, ไม่ใช่) + อา (คำอุปสรรค กลับความหมายของคำหลัง : ไป = มา) + คมฺ (ธาตุ = ไป) + ณี ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะต้นธาตุ (คือยืดเสียง อะ ที่ ค (< คมฺ) ให้เป็น อา : ค- > คา-

กระบวนการทางไวยากรณ์ :
ขั้นที่ 1 : อา + คมฺ = อาคม > อาคาม + ณี > อี = อาคามี แปลว่า “ผู้มา”
ขั้นที่ 2 : น + อาคามี = ?

กฎการประสมของ น + :
– ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แปลง น เป็น อ-
– ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ แปลง น เป็น อน-

ในที่นี้ “อาคามี” ขึ้นต้นด้วยสระ (คือ อา-) จึงแปลง น เป็น อน : น > อน + อาคามี = อนาคามี

อนาคามี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไม่มา (เกิดเป็นมนุษย์)” หรือ “ผู้ไปไม่กลับ”

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อนาคามี” ว่า one who does not return, a Never-Returner (ผู้ซึ่งไม่กลับมาอีก, ผู้ไม่หวนกลับมา)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

“อนาคามี : “ผู้ไม่มาสู่กามภพอีก” เป็นชื่อพระอริยบุคคลชั้นที่ ๓ ใน ๔ ชั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์, บางทีเรียกสั้น ๆ ว่า พระอนาคา”

Read More
บาลีวันละคำ

สกทาคามี (บาลีวันละคำ 772)

สกทาคามี

ไทยและบาลีเขียนเหมือนกัน อ่านว่า สะ-กะ-ทา-คา-มี
คำนี้เป็น “สกิทาคามี” ก็มี (คำหนึ่งเป็น สกทา- คำหนึ่งเป็น สกิทา-)

สกทาคามี หรือ สกิทาคามี รากศัพท์มาจาก สกิ (สะ-กิ) (= ครั้งเดียว) + อา (คำอุปสรรค) + คมฺ (ธาตุ = ไป) + ณี ปัจจัย, ลบ ณ, ลง ท อาคม, ทีฆะต้นธาตุ : ค- > คา-

: สกิ + ท = สกิท + อา = สกิทา + คมฺ = สกิทาคม > สกิทาคาม + ณี > อี = สกิทาคามี

ตามกฎไวยากรณ์ท่านว่า พฤทธิ์ (คือแผลง) อิ ที่ กิ เป็น อ ได้ : สกิ > สก ดังนั้น “สกิทาคามี” จึงเป็น “สกทาคามี” ได้ด้วย

อนึ่ง “อา-” (คำอุปสรรค ดูข้างต้น) มีอำนาจทำให้คำที่ตามหลังกลับความหมาย
ในที่นี้ คำที่ตามหลังคือ “คมฺ” (ธาตุ) แปลว่า “ไป” : อา + คม กลับความหมายกลายเป็น “มา”

Read More
บาลีวันละคำ

โสดาบัน (บาลีวันละคำ 771)

โสดาบัน

อ่านว่า โส-ดา-บัน

บาลีเป็น “โสตาปนฺน” อ่านว่า โส-ตา-ปัน-นะ
ประกอบด้วยคำว่า โสต + อาปนฺน

“โสต” (โส-ตะ) แปลตามศัพท์ว่า –

(1) “อวัยวะที่ทำหน้าที่ได้ยิน” “อวัยวะเป็นเครื่องฟัง” หมายถึง ประสาทหู

(2) “ธรรมที่ถึงพระนิพพาน” “ธรรมที่กำจัดกิเลส” “ธรรมที่ยังกิเลสให้แห้ง” “ธรรมที่ละกิเลส” ความหมายทั่วไป หมายถึง กระแส เช่นกระแสน้ำ, สิ่งที่เข้ามาสู่การรับรู้ เช่นกระแสข่าว กระแสอารมณ์

“โสต” ในที่นี้มีความหมายเฉพาะว่า “กระแสพระนิพพาน” หมายถึงต้นทางที่จะดำเนินถึงพระนิพพาน

“อาปนฺน” (อา-ปัน-นะ) เป็นรูปคำกริยา แปลว่า “ถึงแล้ว” “บรรลุแล้ว”

โสต + อาปนฺน = โสตาปนฺน แปลว่า “ผู้ถึงกระแสพระนิพพาน”

แปลตามสำนวนแข่งฟุตบอลโลกก็ว่า “เข้ารอบแล้ว (และจะได้เป็นแชมป์แน่นอน)”

โสตาปนฺน ใช้ในภาษาไทยว่า “โสดาบัน”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

“โสดาบัน : “ผู้แรกถึงกระแสธรรม (พระนิพพาน)” เป็นชื่อพระอริยบุคคลชั้นต้นใน ๔ ชั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์, บางทีก็เรียกสั้น ๆ ว่า พระโสดา”

เกณฑ์ตัดสินความเป็นโสดาบัน :

Read More
บาลีวันละคำ

พิลาป (บาลีวันละคำ 770)

พิลาป

อ่านว่า พิ-ลาบ
บาลีเป็น “วิลาป” อ่านว่า วิ-ลา-ปะ

“วิลาป” รากศัพท์มาจาก วิ (= พิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + ลป (ธาตุ = กล่าว, พูด, บอก) + ณ ปัจจัย

ปัจจัยตัวนี้ลงแล้วลบเสีย แต่มีอำนาจยืดเสียง (ภาษาไวยากรณ์ว่า “ทีฆะ”) อะ ที่ต้นธาตุ (คือ ล-) เป็น อา = ล- > ลา-

: วิ + ลป = วิลป + ณ = วิลป > วิลาป แปลตามศัพท์ว่า “การพูดอย่างพิเศษ” หมายถึง พูดอย่างผิดปกติ คือการร้องคร่ำครวญ

“วิลาป” ถ้าเป็นคำกริยา (ประถมบุรุษ เอกพจน์) เป็น “วิลปติ” (วิ-ละ-ปะ-ติ) แปลว่า –
(1) พูดพร่ำ (to talk idly)
(2) ครวญ, พร่ำเพ้อ (to lament, wail)

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “วิลาป” ว่า idle talk (การพูดเรื่อยเปื่อย, พูดพล่าม)

“วิลาป” ในภาษาไทยแปลง ว เป็น พ : วิลาป > พิลาป พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

“พิลาป : (คำกริยา) รํ่าไรรําพัน, ครํ่าครวญ, ร้องไห้, บ่นเพ้อ. (ป., ส. วิลาป)”

Read More
บาลีวันละคำ

พระอภัยมณี (บาลีวันละคำ 769)

พระอภัยมณี

นิทานคำกลอนอันลื่อชื่อของสุนทรภู่
มีตัวละครเอกชื่อ “พระอภัยมณี”

“อภัยมณี” แปลว่าอะไร ?

“อภัย” ภาษาไทยอ่านว่า อะ-ไพ
บาลีเป็น “อภย” อ่านว่า อะ-พะ-ยะ

“อภย” มาจากการประสมระหว่าง น (= ไม่, ไม่ใช่, ไม่มี) + ภย (= ความกลัว, ความตกใจกลัว, ความหวาดหวั่น)

กฎการประสมของ น + :
– ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แปลง น เป็น อ-
– ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ แปลง น เป็น อน-

ในที่นี้ “ภย” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ จึงแปลง น เป็น อ : น > อ + ภย = อภย

“อภย” :
– ใช้เป็นคุณศัพท์ มีความหมายว่า ปลอดจากความกลัวหรืออันตราย, ไม่มีความกลัว, ปลอดภัย (free from fear or danger, fearless, safe)
– ใช้เป็นคำนาม มีความหมายว่า ความไว้วางใจ, ความปลอดภัย (confidence, safety)

Read More
บาลีวันละคำ

วินัย (บาลีวันละคำ 768)

วินัย

อ่านว่า วิ-ไน
บาลีเป็น “วินย” อ่านว่า วิ-นะ-ยะ

“วินย” มีรากศัพท์มาจาก วิ ( = วิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + นี (ธาตุ = นำไป) + อ ปัจจัย พฤทธิ์ อี (ที่ นี) เป็น เอ, แปลง เอ เป็น อย
: วิ + นี = วินี > (อี เป็น เอ =) วิเน > (เอ เป็น อย =) วินย + อ = วินย แปลตามศัพท์ว่า “อุบายเป็นเครื่องนำไป” หรือ “การนำไปอย่างวิเศษ”

“วินย” ในบาลีใช้ในความหมายหลายอย่าง คือ –

(1) การขับออก, การเลิก, การทำลาย, การกำจัดออก (driving out, abolishing, destruction, removal)

ความหมายนี้ดังเช่นข้อความตอนหนึ่งในพระคาถาชินบัญชรที่ว่า –

วาตปิตฺตาทิสญฺชาตา พาหิรชฺฌตฺตุปทฺทวา
โรคภัย อุปัทวะทั้งภายนอกทั้งภายในอันเกิดแต่เหตุมีโรคลมและโรคดีเป็นต้น
อเสสา วินยํ ยนฺตุ อนนฺนตชินเตชสา.
จงถึงวินยะ (= การถูกกำจัดออก, ความหมดสิ้นไป) โดยไม่เหลือ ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้า

(2) กฎ, วิธีพูดหรือตัดสิน, ความหมาย, วาทวิทยา (วิชาการใช้ถ้อยคำ) (rule, way of saying or judging, sense, terminology)

(3) วินัย, จรรยา, ศีลธรรม, ความประพฤติที่ดี (norm of conduct, ethics, morality, good behavior)

(4) ประมวลจรรรยา, วินัยสงฆ์, กฎ, จรรยาบรรณหรือพระวินัย (code of ethics, monastic discipline, rule, rules of morality or of canon law)

Read More
บาลีวันละคำ

คว่ำบาตร (บาลีวันละคำ 767)

คว่ำบาตร
บาลีว่าอย่างไร

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –

“คว่ำบาตร : (สํานวน) ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย, เดิมหมายถึงสังฆกรรมที่พระสงฆ์ประกาศลงโทษคฤหัสถ์ผู้ประทุษร้ายต่อศาสนาด้วยการไม่คบ ไม่รับบิณฑบาต เป็นต้น”

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –

คว่ำบาตร : การที่สงฆ์ลงโทษอุบาสกผู้ปรารถนาร้ายต่อพระรัตนตรัย โดยประกาศให้ภิกษุทั้งหลายไม่คบด้วย คือไม่รับบิณฑบาต ไม่รับนิมนต์ ไม่รับไทยธรรม, บุคคลต้นบัญญัติ คือวัฑฒลิจฉวี ซึ่งถูกสงฆ์คว่ำบาตร เพราะโจทพระทัพพมัลลบุตร ด้วยสีลวิบัติอันไม่มีมูล, คำเดิมตามบาลีว่า “ปัตตนิกกุชชนา”

“ปัตตนิกกุชชนา” เขียนแบบบาลีเป็น “ปตฺตนิกฺกุชฺชนา” อ่านว่า ปัด-ตะ-นิก-กุด-ชะ-นา ประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ ปตฺต + นิกฺกุชฺชนา

ปตฺต แปลว่า บาตร
นิกฺกุชฺชนา แปลว่า คว่ำลง
ปตฺตนิกฺกุชฺชนา จึงแปลตรงตัวว่า “คว่ำบาตร”

คำบาลีบางคำเราเอามาใช้ทั้งคำ ทั้งความหมาย เช่น “บิณฑบาต” คำก็เป็นบาลี ความหมายก็เป็นความหมายตามบาลี
แต่คำว่า “คว่ำบาตร” นี้ เราไม่ได้เอาคำบาลีมาใช้ แต่เอาคำแปลหรือความหมายมาใช้ (อาจเป็นเพราะคำว่า “ปตฺตนิกฺกุชฺชนา” ทั้งรูปทั้งเสียงไม่สู้จะรื่นในภาษาไทย)

ใครคือผู้ที่ควรจะถูก “คว่ำบาตร” ?

Read More
บาลีวันละคำ

วิกฤติ (บาลีวันละคำ 766)

วิกฤติ

อ่านว่า วิ-กฺริด
บาลีเป็น “วิกติ” อ่านว่า วิ-กะ-ติ

“วิกติ” รากศัพท์มาจาก วิ (= พิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + กรฺ (ธาตุ = ทำ) + ติ ปัจจัย ลบที่สุดธาตุ
: วิ + กรฺ = วิกร > วิก + ติ = วิกติ แปลตามศัพท์ว่า “การทำให้แปลกไปเป็นอย่างอื่น” หมายถึง การเปลี่ยนแปลง, การแปรไป, การผันแปรไปจากปกติ

“วิกติ” ในบาลีใช้ในความหมายอย่างอื่นด้วย คือ –

(1) ประเภท, ชนิด (sort, kind)
(2) ผลิตผล, การกระทำ, ภาชนะ (product, make; vessel)
(3) การจัดแจง, การจัดเป็นพวกๆ, การจัดเป็นชนิดๆ; รูปร่าง, ทรวดทรง (arrangement, get up, assortment; form, shape)

“วิกติ” สันสกฤตเป็น “วิกฤติ” สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –

“วิกฤติ : (คำนาม) การเปลี่ยนอย่างใดอย่างหนึ่ง, ดุจเปลี่ยนเหตุ –การย์ –ความมุ่งหมาย, เปลี่ยนมนัส, เปลี่ยนรูป ฯลฯ; change of any kind, as a purpose, mind, form”

“วิกติ” ในบาลีถ้าเป็นคุณศัพท์ เปลี่ยนรูปเป็น “วิกต” (วิ-กะ-ตะ) แปลว่า ที่เปลี่ยนแปลง, ที่ผันแปร (changed, altered)

ในภาษาไทยใช้ทั้ง “วิกฤต” (ต ไม่มีสระ อิ) และ “วิกฤติ” (ต มีสระ อิ)
ถ้าไม่มีคำสมาสต่อท้าย อ่านว่า วิ-กฺริด เหมือนกันทั้งสองคำ
ถ้ามีคำสมาสต่อท้าย วิกฤต- อ่านว่า วิ-กฺริด-ตะ- เช่น วิกฤตการณ์ อ่านว่า วิ-กฺริด-ตะ-กาน
วิกฤติ- อ่านว่า วิ-กฺริด-ติ- เช่น วิกฤติการณ์ อ่านว่า วิ-กฺริด-ติ-กาน

Read More
บาลีวันละคำ

กูรู (บาลีวันละคำ 765)

กูรู
คำที่คนไทยสมัยใหม่ถอดมาจากคำว่า guru
“guru” เป็นอักษรโรมันที่เขียนคำบาลีสันสกฤตว่า “คุรุ” อ่านว่า คุ-รุ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“คุรุ : (คำนาม) ผู้สั่งสอน, ครู. (ป., ส.)”
ความหมายของ “คุรุ” :
(1) ถ้าแปลตามศัพท์ มีความหมายว่า หนัก (heavy) ตรงกันข้ามกับ “ลหุ” = เบา (light)
(2) ถ้าใช้เป็นคุณศัพท์ มีความหมายว่า สำคัญ, ควรยกย่อง, ที่มีค่าหรือตีราคาสูง (important, to be esteemed, valued or valuable)
(3) ถ้าหมายถึงบุคคล มีความหมายว่า คนที่ควรนับถือ, ครู (a venerable person, a teacher)
“คุรุ” ที่หมายถึง “ครู” แปลตามรากศัพท์ว่า (1) “ผู้ลอยเด่น” (2) “ผู้หลั่งความรู้ไปในหมู่ศิษย์” (3) “ผู้คายความรู้ให้หมู่ศิษย์”
“คุรุ” เป็นคำที่มีใช้ในภาษาไทยมานานแล้ว คนไทยสมัยใหม่ จะเป็นเพราะไม่รู้ หรือรู้แต่อยากจะแสดงความแปลกใหม่ เมื่อเห็นคำว่า guru แทนที่จะเขียนว่า “คุรุ” กลับถอดคำออกมาเป็น “กูรู”
ชวนให้คิดว่า เด็กไทยสมัยใหม่คงจะไม่รู้จักคำว่า “คุรุ – ครู” ไม่รู้จักครู และไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อครูอย่างไร
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ข้อ 265 แสดงการปฏิบัติต่อครู หรือการไหว้ครูตามหลักพระพุทธศาสนาไว้ดังนี้ –
1) ลุกต้อนรับ (อุฏฺฐาเนน) by rising to receive them.
2) เข้าไปหา (เพื่อบำรุง คอยรับใช้ ปรึกษา และรับคำแนะนำ เป็นต้น) (อุปฏฺฐาเนน) by waiting upon them.
3) ใฝ่ใจเรียน (คือ มีใจรัก เรียนด้วยศรัทธา และรู้จักฟังให้เกิดปัญญา) (สุสฺสุสาย) by eagerness to learn.
4) ปรนนิบัติ ช่วยบริการ (ปาริจริยาย) by personal service.
5) เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ (คือ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ) (สกฺกจฺจํ สิปฺปํ ปฏิคฺคหเณน) by attentively learning the arts and sciences.

Read More
บาลีวันละคำ

พุทธภูมิ (บาลีวันละคำ 764)

พุทธภูมิ
อ่านว่า พุด-ทะ-พูม
บาลีเป็น “พุทฺธภูมิ” อ่านว่า พุด-ทะ-พู-มิ
ประกอบด้วย พุทฺธ + ภูมิ
“พุทฺธ” (พุด-ทะ) โปรดสังเกตจุดใต้ ทฺ ซึ่งทำให้ ทฺ เป็นตัวสะกด ภาษาไทยเขียน “พุทธ”
ในภาษาไทย ถ้าอยู่ท้ายศัพท์ อ่านว่า –พุด เช่น “พระพุทธ” อ่านว่า พฺระ-พุด
ถ้ามีคำมาสมาสข้างท้าย อ่านว่า –พุด-ทะ- เช่น “พระพุทธเจ้า” อ่านว่า พฺระ-พุด-ทะ-เจ้า
“พุทฺธ” แปลตามศัพท์ได้เกือบ 20 ความหมาย แต่ที่เข้าใจกันทั่วไปมักแปลว่า –
(1) ผู้รู้ = รู้สรรพสิ่งตามความเป็นจริง
(2) ผู้ตื่น = ตื่นจากกิเลสนิทรา ความหลับไหลงมงาย
(3) ผู้เบิกบาน = บริสุทธิ์ผ่องใสเต็มที่
ความหมายที่เข้าใจกันเป็นสามัญ หมายถึง “พระพุทธเจ้า”
“ภูมิ” (พู-มิ) แปลตามรากศัพท์ว่า “สถานที่มีอยู่เป็นอยู่แห่งสัตว์โลก” มีความหมายหลายอย่าง กล่าวคือ พื้นดิน, ดิน, แผ่นดิน, สถานที่, ถิ่น, แคว้น, แถบ, ภูมิภาค, พื้น, พื้นราบ, ขั้นตอน, ระดับ (ground, soil, earth, place, quarter, district, region, plane, stage, level)
ในภาษาไทย พจน.54 บอกความหมายของ “ภูมิ” ไว้ว่า แผ่นดิน, ที่ดิน; พื้น, ชั้น, พื้นเพ; ความรู้; สง่า, โอ่โถง, องอาจ, ผึ่งผาย
ในที่นี้คำว่า “ภูมิ” หมายถึง ระดับจิตใจ, สภาพหรือคุณภาพของจิต

Read More